เปิดสูตรคิด “ร้านกาแฟ” ลูกค้านั่งได้นานเท่าไหร่? มีกำไรร้านไม่เจ๊ง!

คนเปิดร้านกาแฟ ก็ต้องการลูกค้ามานั่งในร้าน แต่ลูกค้าบางคนก็นั่งนานเหลือเกิน บางทีสั่งกาแฟแก้วเดียวแต่นั่งแช่ทีละ หลายชั่วโมง บางทีเจ้าของร้านก็อึดอัดจะเดินเข้าไปบอกลูกค้าก็กลัวจะกระทบภาพลักษณ์ของร้าน แต่จะปล่อยให้นั่งยาวๆ ไปก็ไม่มีที่ว่างรับลูกค้าคนอื่น ถ้าเป็นแบบนี้ทุกวันร้านกาแฟที่เจอเหตุการณ์นี้มีหวังทุนหายกำไรหด

www.ThaiSMEsCenter.com เห็นใจคนทำธุรกิจร้านกาแฟที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเหตุการณ์นี้ และเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการลองมาดูสูตรคิดวิธีการที่ใช้บริหารจัดการในเรื่องเหล่านี้ได้

ตั้งคอนเซปต์ “ร้านกาแฟ” ให้ชัดเจน

เปิดสูตรคิด “ร้านกาแฟ”

ภาพจาก www.facebook.com/StarbucksThailand/

จุดขายของร้านกาแฟหลายคนมองว่าคือสถานที่นั่งชิลๆ อาจใช้ทำงานได้บ้าง ซึ่งภาพลักษณ์ส่วนใหญ่ของร้านกาแฟก็เป็นแบบนั้นหากคุณนั่ง 1-2 ชั่วโมงอันนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่ก็มีแบรนด์ใหญ่บางรายที่วาง “ตำแหน่งร้าน” ว่าเป็นคาเฟ่ให้ลูกค้ามานั่งเล่น ถ่ายรูปเล่นได้

แน่นอนว่าร้านกาแฟสไตล์นี้เขาต้องยอมรับได้กับการที่ลูกค้าจะนั่งนานๆ หรือนั่งทั้งวันเขาก็ไม่ว่า เพราะถือว่าลูกค้ายอมจ่ายเงินซื้อกาแฟ เพื่อบรรยากาศ ฉะนั้นหลายๆ ร้านจึงใช้เทคนิคตั้งราคาอาหารค่อนข้างสูง เพื่อชดเชยค่าเสียโอกาสในการรับลูกค้าท่านอื่นๆ

เปิดสูตรคิด “ร้านกาแฟ”

ภาพจาก https://bit.ly/3G18lg1

ยกตัวอย่าง Starbucks แบรนด์กาแฟที่วางคอนเซปต์ ว่า ไม่ได้ต้องการขายกาแฟ แต่ต้องการเป็นสังคมย่อมๆให้คนได้เข้ามานั่งเล่น พบปะ พูดคุย และขายประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้า ดังนั้น Starbucks จึงอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทุกอย่าง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ Starbucks ทำได้คือ พื้นที่ร้านกว้าง รองรับลูกค้าได้มาก และต้นทุนต่ำกว่า เนื่องจากมีหลายสาขาทำให้อำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์สูง

ที่สำคัญราคาเครื่องดื่มสูงกว่าร้านกาแฟทั่วไป 2 – 3 เท่า นั่นแปลว่าการที่ Starbucks รับลูกค้าคนเดียว กลับมียอดขายเทียบเท่ากับร้านกาแฟเล็กๆ รับลูกค้า 2 – 3 คน Starbucks จึงสามารถปล่อยให้ลูกค้านั่งนานๆ ได้โดยไม่เดือดร้อน นี่คือข้อได้เปรียบของแบรนด์ใหญ่ สำหรับร้านกาแฟแบบทั่วไปคงยากที่จะทำตามแนวทางนี้ของ Starbucks ได้

ต้นทุนกาแฟ 1 แก้ว คุ้มกับค่าไฟแค่ไหน? (ในกรณีลูกค้านั่งนาน)

เปิดสูตรคิด “ร้านกาแฟ”

ภาพจาก pixabay.com

ตามข่าวที่ปรากฏลูกค้ารายนี้สั่งเอสเปรสโซ่ในราคา 40 บาทแต่นั่งทำงานเสียบปลั๊กใช้โน๊ตบุ๊คนานกว่า 5-6 ชั่วโมง ถ้ามองจากเคสนี้ กาแฟ 40 บาทยังไงก็ไม่คุ้มค่าไฟ 5-6 ชั่วโมงเป็นแน่ ลองมาดูต้นทุนรวมๆของร้านกาแฟที่กาแฟ 1 แก้วมีต้นทุนแฝงค่อนข้างมาก ทั้งค่าเช่าสถานที่ ซึ่งถ้าทำเลดีๆ อยู่ในย่านออฟฟิศสำนักงาน อาจสูงถึงเดือนละหลายหมื่นบาท ค่าพนักงานขั้นต่ำก็ 13,000 บาท แต่ถ้าจ้างบาริสต้าเก่งๆ ก็ต้องจ่ายแพงกว่านั้น ไหนจะค่าสวัสดิการ ค่าอาหาร ค่า OT จิปาถะ

นอกจากนี้ยังมีค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเสื่อมของเครื่องชงกาแฟ ค่าแก้ว ค่าทิชชู่ ฯลฯ เมื่อนำมาคำนวณแล้ว กำไร 1 แก้ว จะเหลือประมาณ 20% เท่านั้น ฉะนั้นถ้าขายกาแฟราคาแก้วละ 60 บาท เราจะได้กำไรประมาณ 12 บาทเท่านั้น

สมมติว่ามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่เป็น Fixed cost (ค่าเช่า ค่าพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ) 30,000 บาท เท่ากับว่าต้องขายกาแฟให้ได้เดือนละ 2,500 แก้ว ถ้าเปิดร้าน 20 วัน ต่อเดือน เท่ากับว่า 1 วัน เราต้องขายให้ได้ 125 แก้ว เพื่อ “เท่าทุน”

จึงไม่น่าแปลกที่ร้านกาแฟที่ปรากฏในข่าวจะออกมาโวยวายเพราะกรณีนี้ถือเป็นการบั่นทอนรายได้ทางธุรกิจปิดโอกาสลูกค้ารายอื่นที่จะเข้ามา แทนที่จะรับลูกค้าได้มากขึ้นก็รับได้น้อยลงกว่าเดิม ในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อเดือนก็ยังมีเท่าเดิมจึงถือว่าเป็นเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นของฝั่งร้านกาแฟ

5 วิธีป้องกันลูกค้านั่งนาน ในร้านกาแฟ

1.ติดป้ายประกาศข้อกำหนดให้ชัดเจน

เปิดสูตรคิด “ร้านกาแฟ”

ร้านกาแฟหลายแห่งไม่นิยมติดป้ายประกาศในเรื่องเวลาของการใช้ไฟฟ้า หรือการนั่งในร้านแบบนานๆ ด้วยกลัวจะ “เสียลูกค้า” เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ก็มองว่า “ร้านกาแฟเรื่องมาก” ไปร้านอื่นดีกว่า หลายร้านก็เลยยอมรับสภาพกับการที่ลูกค้าแต่ละคนมีมารยาทในการเข้าร้านกาแฟไม่เหมือนกัน บางคนเมื่อรู้ว่าตัวเองนั่งนานเกินไปก็จะเกรงใจและออกจากร้านเพื่อให้ลูกค้าคนอื่นได้เข้ามาใช้บริการบ้าง

แต่ในขณะที่ลูกค้าบางรายคิดว่าตัวเองเสียเงินแล้วจะนั่งนานแค่ไหนก็ได้ กลายเป็นปัญหาที่ร้านกาแฟต้องเจอ ลองเปลี่ยนแนวคิด มาเขียนข้อกำหนดให้ชัดเจน เพราะเชื่อว่าลูกค้าหลายคนเขารับกับกฏกติกานี้ได้และก็เป็นข้อตกลงที่ยุติธรรมทั้งฝั่งเจ้าของร้านและลูกค้า วิธีนี้อาจจะเป็นการคัดกรองลูกค้าที่ดีๆ ให้เข้ามาในร้านเราได้ด้วย

2.ให้รหัส Wifi จำกัดเวลา ไม่มีปลั๊กบริการ

เปิดสูตรคิด “ร้านกาแฟ”

ร้านกาแฟหรือคาเฟ่หลายๆ แห่ง มักใช้วิธีนี้บอกลูกค้ากลายๆ ว่าเราจำกัดเวลา ไม่ให้นั่งนาน เพราะลูกค้าบางกลุ่มมักมานั่งทำงานเป็นเวลานาน ทำให้ร้านรับลูกค้ารายอื่นไม่ได้ และสูญเสียรายได้ไป ดังนั้นร้านส่วนใหญ่จึงให้รหัส Wifi ไว้กับใบเสร็จ โดยจะมีเวลาจำกัดประมาณ 1.30 – 2 ชั่วโมง เมื่อหมดชั่วโมงก็ต้องซื้อแก้วใหม่ ถ้าลูกค้าจำเป็นต้องใช้ Wifi จริงๆ ก็ต้องยอมจ่าย เพื่อรับบริการนี้ เช่นเดียวกัน

การไม่มีปลั๊กไฟก็จะช่วยให้ลูกค้าลุกเร็วขึ้นได้เช่นกัน เพราะไม่มีที่ชาร์ตคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน วิธีนี้นอกจากจะช่วยบรรเทาปัญหาลูกค้านั่งนานได้แล้ว ยังเป็นการกรองกลุ่มลูกค้าได้อีกด้วย เพราะลูกค้าที่อยากนั่งคาเฟ่นานๆ เพื่อทำงาน ย่อมมองหาร้านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มากกว่า

3.อย่าเลือกเก้าอี้แบบนั่งสบายมากเกินไป

เปิดสูตรคิด “ร้านกาแฟ”

เป็นรายละเอียดเล็กน้อยแต่น่าสนใจ หากเคยสังเกตจะพบว่า เวลาไปร้านอาหาร คาเฟ่ หรือร้านประเภทฟาสต์ฟู้ดบางร้านแล้วรู้สึกว่า เก้าอี้นั่งไม่สบายเลย ทั้งแข็ง ไม่มีเบาะนุ่มๆ บางคนอาจคิดว่า เป็นเพราะร้านประหยัดค่าใช้จ่าย แต่จริงๆ แล้วอาจเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อทำให้ลูกค้าลุกจากร้านเร็วขึ้น เพราะรู้สึกว่านั่งนานๆ แล้วไม่สบายตัว ลุกไปที่อื่นดีกว่า ทำให้ร้านมีเพิ่มโอกาสรับลูกค้าได้มากขึ้น

แต่ร้านกาแฟส่วนใหญ่มักจะมองเรื่องความรู้สึกลูกค้าเป็นสำคัญและอยากให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและสบาย จึงเลือกเก้าอี้นิ่มๆ นุ่ม นั่งสบาย ซึ่งก็อาจเป็นดาบสองคมได้ หากเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ดีร้านกาแฟก็ควรกำหนดมาตรการอื่นๆ มาป้องกันลูกค้านั่งแช่แทน

4.ใช้เสียงเพลงกระตุ้นลูกค้า

เปิดสูตรคิด “ร้านกาแฟ”

เสียงเพลงกับร้านกาแฟอาจเป็นของคู่กัน รวมไปถึงร้านอาหารบางแห่งก็มีการเปิดเพลงคลอๆ เพื่อสร้างบรรยากาศให้ลูกค้าเพลิดเพลิน บางร้านถึงกับมีการกำหนดเพลงที่จะเล่นในร้านตามช่วงเวลาต่างๆ รวมถึงบางร้านมีการกำหนดระดับเสียงในการเปิดเพลงด้วย

บางร้านเปิดเพลงชิลๆ เบาๆ ก็จะทำให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย นั่งได้เรื่อยๆ นั่งได้นาน แต่บางร้านที่อยากกระตุ้นให้ลูกค้าลุกเร็วขึ้น ก็อาจเลือกเปิดเพลงหนักๆ เช่น เพลงร็อค เพลงแร๊ป ในระดับเดซิเบลที่ค่อนข้างดัง เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตื่นตัว และลุกจากร้านเร็วขึ้น

5.เก็บจาน วางบิล ด้วยความสุภาพ

เปิดสูตรคิด “ร้านกาแฟ”

ดูเผินว่าเป็นวิธีสุภาพแต่อาจจะเรียกว่า “หักดิบ” ลูกค้าได้เลยทีเดียว สิ่งสำคัญคือต้องเทรนด์พนักงานให้เข้าใจวิธีการเข้าหาลูกค้าที่นั่งนาน และการพูดจาต้องสุภาพอ่อนโยน ใบหน้าต้องยิ้มแย้มเสมอ คำถามคือกรณีไหนที่จะใช้วิธีการเก็บจาน วางบิล และสอบถามลูกค้าว่าต้องการอะไรเพิ่มไหม ก็ให้ดูเคสบายเคส เช่น นั่งนานเกิน 2 ชั่วโมง และมีลูกค้าคนอื่นรออยู่หน้าร้าน ก็อาจจะเริ่มด้วยการขออนุญาตเก็บจาน พร้อมเข้าไปสอบถามว่า ต้องการอะไรเพิ่มไหม หากลูกค้าไม่ต้องการอะไรเพิ่มก็ขออนุญาติวางบิล

รวมถึงต้องคุยกับลูกค้าให้รู้สึกว่าเราไม่ได้ “ไล่” หากเป็นลูกค้าที่มีความเกรงใจเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่ทั้งนี้เราก็ไม่ควรเร่งรัดลูกค้าจนรู้สึกว่าอึดอัด เราต้องทำเพียงเพื่อให้ลูกค้าเข้าใจว่าเรากำลังกระตุ้นให้เขาสั่งอาหารเพิ่ม หรือไม่ก็ให้เขาลุกจากโต๊ะเนื่องจากนั่งอยู่ในร้านมานานเกินพอแล้ว

11

การเปิดร้านกาแฟในสไตล์คาเฟ่ย่อมเจอลูกค้าหลากหลายประเภทมีทั้งคนที่มีมารยาทรู้จักเกรงใจ และบางคนที่ไม่มีมารยาทไม่มีคำว่าเกรงใจ ผู้ประกอบการหลายคนต้องใช้ความอดทนอย่างสูงในการรับมือลูกค้าหลากหลายประเภท

เพราะอย่าลืมว่ายุคนี้โซเชี่ยลมาแรง อะไรดีไม่ดี โพสต์ลงเฟซบุ๊ค แป๊บเดียวกลายเป็นข่าวได้ทันที การเปิดร้านกาแฟให้ประสบความสำเร็จก็ต้องมีการกำหนดแนวทางและการบริหารจัดการที่ดีและต้องมีวิธีรับมือลูกค้าที่คาดไม่ถึงด้วย

อ้างอิงจาก https://bit.ly/2ZfPUnd

อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise


8 ขั้นตอน การพัฒนาระบบแฟรนไชส์

1. การวางแผนธุรกิจ ก่อนทำแฟรนไชส์

  • กำหนดรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ให้มีความชัดเจน โดนใจลูกค้า
  • ชื่อกิจการ (Brand)
  • การสร้างผลการดำเนินธุรกิจที่ดี ได้ผลกำไร มีความมั่นคง (Good ROI)
  • การสร้างแบรนด์ ตราสินค้า ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักผู้บริโภค
  • การพัฒนาสินค้าบริการ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน
  • การพัฒนาระบบบริการจัดการ จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • วางโครงสร้างองค์กรใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร ทีมงาน สนับสนุนระบบแฟรนไชส์
  • การวางแผน และกำหนดเป้าหมายการขยายธุรกิจ การขยายสาขา ทั้งในและต่างประเทศ
  • การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจ ทำเลที่ตั้ง และรูปแบบของร้านค้า
  • การเลือกใช้สื่อต่างๆ ช่องทางต่างๆ ในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างแบรนด์แฟรนไชส์

2. การรวบรวมข้อมูลธุรกิจ

  • ระบบการปฏิบัติงาน วิธีการบริหารจัดการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
  • ระบบการเงิน การบัญชี
  • งบประมาณในการลงทุนธุรกิจ การขยายสาขา
  • รูปแบบของร้านค้า รูปแบบของตราสินค้า ที่เป็นเอกลักษณ์
  • ระบบการสต็อกสินค้า จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • แผนงานการตลาด การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • กระบวนการพัฒนาบุคลากร ทีมงานด้านต่างๆ

3. การวิเคราะห์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • ธุรกิจเปิดมานานหลายปี จำนวนไม่น้อยกว่า 1สาขา
  • แบรนด์มีชื่อเสียงได้รับความนิยม เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้าง
  • สินค้าและบริการ มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด
  • เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มีผลกำไร ต่อเนื่อง เป็นที่น่าพอใจ
  • มีระบบการทำงาน การปฏิบัติงาน แผนการทำงานที่ชัดเจน สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นได้
  • มีระบบการพัฒนาบุคลากร และสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง เป็นมาตรฐาน
  • ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • แผนกลยุทธ์การขยายสาขา และเติบโตต่อเนื่อง เป็นรายเดือน หรือ รายปี

4. การวางโครงสร้างของระบบแฟรนไชส์

  • กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค
  • การสร้างองค์ความรู้ ระบบปฏิบัติงานต่างๆ ที่พร้อมถ่ายทอดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • วางระบบการปฏิบัติงานของแต่ละขั้นตอนธุรกิจ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่าย
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย แต่ละแผนกให้ชัดเจน รวมถึงขั้นตอนการอบรม ระบบตรวจสอบ เพื่อสร้างมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์
  • สร้างระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซี หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • การกำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ ในการขยายสาขาแฟรนไชส์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า (ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์)
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงแก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ช่วงเริ่มต้นได้
  • เงื่อนไขการเปิดสาขาในด้านต่างๆ

5. การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายแฟรนไชส์
  • ระบบการเงิน
  • ค่าธรรมเนียมต่างๆ
  • ข้อเสนอแฟรนไชส์ซี
  • การจดทะเบียนแฟรนไชส์
  • เรื่องกฎหมาย อายุสัญญาแฟรนไชส์
  • ระบบปฏิบัติงาน รูปแบบการให้สิทธิ
  • การตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์
  • แพ็คเกจต่างๆ ระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซีอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำคู่มือแฟรนไชส์ หรือโปรแกรมแฟรนไชส์
  • การจัดทำสัญญาแฟรนไชส์ รวมถึงเครื่องหมายการค้า

6. การวางแผนเพื่อขยายสาขาธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ เจ้าของแฟรนไชส์จะบริหารจัดการเองทุกอย่าง เพื่อสร้างความโดดเด่น สร้างความเด่นชัดให้แก่นักลงทุน ได้เห็นภาพของร้านที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนเปิดสาขาแฟรนไชส์ในภายหลัง
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟนไชส์ คือ เมื่อสาขาแรกมีความแข็งแกร่ง มั่นคง มีผลกำไรต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ แล้ว ก็ทดลองขยายสาขาเพิ่มอีก เพื่อทดสอบสาขาที่ 2 เป็นอย่างไร โดยนำเอาระบบการปฏิบัติงานทุกอย่างของร้านสาขาแรกมาปฏิบัติ ถ้าประสบความสำเร็จ ก็ค่อยขยายสาขาตัวเองเพิ่มอีก 2-3 สาขา ถ้าประสบความสำเร็จเหมือนสาขาแรก ก็ค่อยคิดขายแฟรนไชส์ให้กับคนอื่น

7. กระบวนการพัฒนาและปรับปรุงระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ระบบการบริหารจัดการในร้าน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน)วิเคราะห์ระบบการเงิน การลงทุน ในแต่ละสาขาที่เปิดทดลอง
  • พิจารณาปรับปรุงระบบงาน ระบบการทำงานต่างๆ ให้เหมาะสม
  • ระบบการพัฒนาทีมงานรองรับการขยายงาน ขยายสาขา
  • การวางแผนงานขยายสาขาแฟรนไชส์
  • เก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ กลุ่มลูกค้า ผลประกอบการ การดำเนินงาน ของสาขาแรก หรือสาขาต้นแบบ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ก่อนเปิดสาขาที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และขายแฟรนไชส์
  • จัดวางงบประมาณ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการขยายธุรกิจแฟรนไชส์

8. แผนการตลาดของธุรกิจแฟรนไชส์

  • การจัดทำคู่มือต่างๆ เพื่อแนะนำธุรกิจแฟรนไชส์
  • กระบวนการขายแฟรนไชส์ การคัดเลือกผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • กระบวนการติดตามลูกค้าเป้าหมาย
  • การนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ในงานแสดงธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • การจัดงาน สัมมนาการขายธุรกิจ แฟรนไชส์
  • การเปิดเยี่ยมชมธุรกิจ ร้านต้นแบบแฟรนไชส์
  • กระบวนการคัดเลือกแฟรนไชส์ซีที่เหมาะสม ตามหลักมาตรฐานแฟรนไชส์สากล
  • กระบวนการถ่ายทอดความรู้ การอบรม และให้คำปรึกษาแก่แฟรนไชส์ซี

สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด