เปิดสูตร “เงินทุนหมุนเวียน” คำนวณให้ดี ร้านจะได้ไม่เจ๊ง!

ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจไปต่อไม่ได้ ถึงขนาดเจ๊งต้องเลิกกิจการ ในแต่ละธุรกิจก็มีเหตุผลต่างๆ กันไปถ้าหากเทียบเป็นสัดส่วนพบว่า

  • 42% เจ๊งเพราะสินค้าไม่เป็นที่ต้องการของตลาด
  • 29% เจ๊งเพราะเงินไม่พอหรือขาดเงินทุนทำธุรกิจ
  • 19% เจ๊งเพราะสู้แบรนด์คู่แข่งไม่ได้
  • 14% เจ๊งเพราะการตลาดยังไม่ดีพอ

แต่ใช่ว่าธุรกิจจะอยู่ดีๆ ก็เจ๊งไปในทันที มันต้องมีสัญญาณบอกล่วงหน้า ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจขาดแคลนกระแสเงินสด , เงินทุนหมุนเวียนน้อยกว่าต้นทุนคงที่ , ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตรงเวลา เป็นต้น

บางคนมีคำถามในใจว่า “เงินทุนหมุนเวียน” มีผลทำให้ธุรกิจเจ๊งได้จริงๆใช่ไหม?

คำตอบก็คือ “ใช่” และเป็นปัญหาที่ต้องเกิดร่วมด้วยกับอีกหลายปัจจัย ที่ส่งผลต่อการทำธุรกิจได้อย่างชัดเจน

ในความหมายของคำว่า “เงินทุนหมุนเวียน” คือเงินที่ “ต้องกันเอาไว้” สำหรับใช้จ่ายในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อวัตถุดิบ , ค่าจ้าง , ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ รวมไปถึงเงินที่ใช้สำหรับชำระหนี้ซึ่งเป็นรายจ่ายที่ต้องจ่ายต่อเนื่องก่อนที่ธุรกิจจะมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ หรือรับชำระเงินจากลูกหนี้การค้า (โดยไม่นับรวมถึงการซื้อสินทรัพย์ เช่น อาคาร เครื่องจักร ยานพาหนะ อุปกรณ์ เครื่องใช้สำนักงาน เป็นต้น) โดยมีสูตรในการคำนวณคือ

เงินทุนหมุนเวียน = ลูกหนี้การค้า + (สต๊อกวัตถุดิบ + งานระหว่างทำ + สต๊อกสินค้าสำเร็จรูป) – เจ้าหนี้การค้า

การบริหารเงินทุนหมุนเวียน ในกิจการ จะเกี่ยวข้องกับการจัดการสัดส่วนของ สินทรัพย์หมุนเวียน และหนี้สินหมุนเวียนของกิจการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

สินทรัพย์หมุนเวียน คือ สินทรัพย์ของกิจการที่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเงินสดได้ ภายในระยะเวลาอันสั้น หรือภายใน 1 ปี ได้แก่ เงินสด เงินฝากธนาคาร สินค้าคงเหลือ ลูกหนี้การค้า เป็นต้น มักเรียกสินทรัพย์เหล่านี้ว่า เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง

หนี้สินหมุนเวียน คือ หนี้สินที่มีระยะเวลาในการชำระคืนภายใน 1 ปี เช่น เงินเบิกเกินบัญชีธนาคาร หรือ OD และเงินกู้ยืมระยะสั้น เป็นต้น

เพื่อให้เห็นภาพลองยกตัวอย่างร้านขายลูกชิ้นมีวัตถุดิบ เช่น ลูกชิ้น, ไม้, เครื่องปรุง เป็นต้น โดยต้องเตรียมซื้อวัตถุดิบไว้ก่อนแล้วรอขายในวันถัดไป หรือใช้เวลาประมาณ 1 วันจึงได้รับเงินจากการขายสินค้า

หากกิจการมียอดขายจำนวน 3,000 บาท/วัน มีต้นทุนวัตถุดิบประมาณการร้อยละ 50 ของยอดขาย

แสดงว่า กิจการต้องซื้อวัตถุดิบจำนวน 1,500 บาท/วัน แต่กว่ากิจการจะได้รับเงินสดเป็นค่าหมูปิ้งทั้งหมดก็อีก 1 วัน

เงินทุนหมุนเวียน = 0 (ลูกหนี้การค้า) + 1,500 (สต็อคสินค้า) – 0 (เจ้าหนี้การค้า) = 1,500 บาท

จะเห็นได้ว่า เมื่อพิจารณาเฉพาะวัตถุดิบ ร้านค้าจะมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนอย่างน้อยที่สุดจำนวน 1,500 บาท

ดังนั้น หากเจ้าของร้านมีเงินทุนของตัวเองจำนวน 1,500 บาท แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องกู้ยืมเงินจากแหล่งอื่น เช่น เจ้าหนี้นอกระบบ สถาบันการเงิน ธนาคาร เป็นต้น

ยิ่งเป็นกิจการที่ใหญ่ขึ้น สัดส่วนในการคำนวณก็จะยุ่งยากมากขึ้นเพราะมีตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย แต่การหา “เงินทุนหมุนเวียน” ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คนลงทุนรู้ว่าจะต้องมีเงินทุนหมุนเวียนเท่าไหร่ หากทราบดีแล้วการบริหารเงินด้านอื่นๆ ก็จะง่ายขึ้น มองเห็นต้นทุน กำไร ได้ง่ายขึ้น

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด