ไขข้อสงสัย สินเชื่อไม่ต้องมีหลักประกัน กับ มีหลักประกัน ต่างกันอย่างไร
ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยสู้ดีในปัจจุบัน อาจจะทำให้การเงินของหลายคนเกิดการฝืดเคืองขึ้น การขอสินเชื่อเพื่อกู้ยืมเงินก้อน จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ใครหลายคนมากๆ แต่คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้ว่าจะเลือกกู้สินเชื่อแบบไหนดี โดยเฉพาะการเลือกระหว่างสินเชื่อมีหลักประกัน และสินเชื่อไม่ต้องมีหลักประกัน เพราะไม่รู้ว่ากู้แบบไหนแล้วดีกว่า วันนี้เราจะพาไปทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของสินเชื่อสองประเภทนี้กัน
สินเชื่อไม่ต้องมีหลักประกัน
สินเชื่อไม่ต้องมีหลักประกัน คือสินเชื่อที่ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ หรือบุคคลในการค้ำประกัน แต่จะต้องยื่นเอกสารที่แสดงถึงแหล่งรายได้ และประวัติการชำระในส่วนๆ อื่นเพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งแบ่งเป็นข้อดี และข้อเสียได้ดังนี้
ข้อดีของสินเชื่อไม่ต้องมีหลักประกัน
สินเชื่อไม่ต้องมีหลักประกัน มีข้อดีตรงที่ไม่ต้องนำหลักทรัพย์ใดๆ หรือบุคคลมาทำการค้ำประกันในการขอสินเชื่อ ทำเพียงแค่ยื่นเอกสารไม่กี่ชิ้นอย่าง บัตรประชาชนตัวจริง สลิปเงินเดือน 2 เดือนล่าสุด หน้าสมุดบัญชีธนาคาร และบัตรพนักงานที่มีรูปหน้าตัวเอง (กรณีที่ทำงานประจำ) ก็สามารถยื่นขอสินเชื่อเพื่อการพิจารณาได้ทันที อีกทั้งยังมีระยะเวลาในการอนุมัติที่ไม่นาน จึงตอบโจทย์คนต้องการเงินด่วนได้อย่างฉับไว
ข้อเสียของสินเชื่อไม่ต้องมีหลักประกัน
ในส่วนของข้อเสียของสินเชื่อไม่ต้องมีหลักประกัน โดยมากจะเป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า เพราะไม่ต้องยื่นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันกับทางธนาคาร หรือสถาบันการเงิน หากไม่สามารถชำระหนี้ครบตามกำหนด อาจจะกลายเป็นหนี้เพิ่มมากขึ้นได้
สินเชื่อมีหลักประกัน
สินเชื่อมีหลักประกัน เป็นสินเชื่อที่ต้องนำหลักทรัพย์มาค้ำประกัน ซึ่งจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท นั่นคือสังหาริมทรัพย์แบบเคลื่อนย้ายได้ และอสังหาริมทรัพย์แบบเคลื่อนย้ายไม่ได้ ก็จะมีตั้งแต่ บ้าน คอนโดมิเนียม ที่ดิน โรงงาน ไปจนถึงเพชร ทองคำ รถจักรยานยนต์ และรถยนต์ ซึ่งจะมีข้อดี และข้อเสียที่ต้องรู้ก่อนยื่นกู้ ดังนี้
ข้อดีของสินเชื่อมีหลักประกัน
สินเชื่อมีหลักประกัน จะมีอัตราดอกเบี้ยในการปล่อยกู้ที่ถูกกว่า เพราะผู้กู้จำเป็นจะต้องมีหลักทรัพย์ไว้ค้ำประกัน ทางธนาคาร หรือสถาบันการเงินจึงประเมินความเสี่ยงในจุดนี้ไว้ต่ำลง เลยทำให้มีวงเงินกู้ที่สูงกว่าสินเชื่อไม่ต้องมีหลักประกัน และยังได้รับเวลาในการผ่อนชำระที่นานกว่าด้วย
ข้อเสียของสินเชื่อมีหลักประกัน
ในส่วนของข้อเสียสินเชื่อประเภทนี้ การที่ต้องนำหลักทรัพย์มาใช้ในการค้ำประกันอาจทำให้หลายคนรู้สึกถึงความยุ่งยาก และถ้าหากผู้ขอสินเชื่อมีการผิดนัดชำระก็อาจจะมีความเสี่ยงสูงในการโดยยึดทรัพย์ที่นำไปเป็นหลักประกันได้ หรือผู้ที่ไปค้ำประกันก็อาจจะต้องโดนทวงหนี้แทนผู้ขอสินเชื่อ
เพราะการขอสินเชื่อในการกู้ยืม เป็นเรื่องสำคัญที่ควรจะต้องทำความเข้าใจถึงความแตกต่างให้ชัดเจน ผู้กู้จึงจำเป็นจะต้องรู้ถึงความแตกต่างของสินเชื่อแต่ละประเภทให้ดี อีกทั้งควรทำความเข้าใจถึงรายละเอียดสัญญาให้ชัดเจนก่อนจะเซ็นอะไรทุกครั้งด้วย เพราะจะได้ไม่เสียผลประโยชน์ตรงส่วนที่ควรจะได้ในภายหลัง