วิธีง่ายๆ นำสินค้าเข้า Modern Trade!

ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ หรือ Modern trade ถือเป็นช่องทางการขายที่มีพลัง และกำลังได้รับความนิยมสำหรับผู้ประกอบการ หรือ SME เพราะสามารถสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคได้อีกด้วย

สำหรับผู้ประกอบการ หรือเจ้าของแบรนด์สินค้าอยาก นำสินค้าเข้า ไปวางขาย Modern Trade วันนี้ www.ThaiSMEsCenter.com มีวิธีและขั้นตอนง่ายๆ มานำเสนอให้ทราบ

4 ขั้นตอนเตรียมพร้อมก่อนนำสินค้าเข้า Modern trade

นำสินค้าเข้า

1.สร้างมาตรฐานสินค้า

สินค้าที่จะนำเข้า Modern Trade ต้องมีคุณภาพมาตรฐาน เช่น อย., มอก., GMP, HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิต ทั้งด้านความสะอาด ปลอดภัย เพราะการมีมาตรฐานรับรองช่วยให้เจ้าของร้าน Modern Trade มีความเชื่อมั่นและมั่นใจในแบรนด์สินค้าที่จะนำมาขาย และต้องเป็นสินค้าที่ไม่ลอกเลียนแบบใคร

2.จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat)

การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มยังช่วยให้การทำแบรนด์สินค้าและการดำเนินธุรกิจมีความคล่องตัว ไม่มีปัญหาในเรื่องการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร และยังใช้สิทธิ์ขอคืนภาษีได้ในกรณีที่ภาษีขายน้อยกว่าภาษีซื้อ

3

3.การคำนวณต้นทุน

การนำสินค้าเข้า Modern Trade เจ้าของแบรนด์สินค้าจะมีค่าใช้จ่ายหลายอย่างที่ต้องเสีย อาทิ ค่าเปิด Account ครั้งแรก (เสียครั้งเดียว), ค่าบริการจัดการลิสต์สินค้า SKU (เสียรายปี),Gross Profit จีพี รายได้จากการขายสินค้าของแบรนด์ซึ่งสัดส่วนจีพีประมาณ 30-40% จากรายได้จากการขายของแบรนด์ เช่น สินค้า A ขายราคา 100 บาท เมื่อหักค่าจีพีให้กับModern Trade 40% แบรนด์จะได้รับเงินค่าสินค้า A 60 บาท รวมถึงค่าดีซี-ค่ากระจายสินค้า-ค่าขนส่งสินค้า เป็นค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า กระจายสินค้า บางแห่งจะหักค่าดีซีจากยอดขายสินค้าของแบรนด์ประมาณ 1-3%

นอกจากนี้ ยังมีค่ากิจกรรมการตลาด เช่น การออกบูทให้ชิมสินค้า การทำกิจกรรม ทำโปรโมชั่น และยังมีค่าสินค้าตีคืน มี 2 รูปแบบ ได้แก่ สินค้าขายขาดคิดค่าคืนสินค้าเป็น % และบวกเข้ากับราคาส่ง แต่ถ้าเป็นสินค้าฝากขายตีคืนเป็นตัวสินค้า

4.ผลิตและส่งสินค้าตรงเวลา

ผู้ประกอบการ SME ต้องรักษาคำพูด โดยเฉพาะเรื่องของเวลาและปริมาณการผลิตสินค้าในการเข้าห้าง ต้องผลิตสินค้าให้ทันและส่งสินค้าตรงตามเวลาที่ Modern Trade กำหนดไว้ นอกจากสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจแล้ว ยังทำให้การทำงานเป็นระบบและช่วยวางแผนการผลิตสินค้าในอนาคตได้อีกทาง

เงื่อนไขการนำสินค้าเข้า Modern Trade

4

1.เอกสารเตรียมให้กับ Modern Trade

  • สำเนาหนังสือรับรองบริษัทที่รัฐออกให้ไม่เกิน 90 วัน
  • สำเนาหนังสือ ภพ.20
  • สำเนาบัตรประชาชนของผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทผู้ส่งสินค้า
  • สำเนาบัตรประชาชน ของผู้รับมอบอำนาจในการจัดส่งสินค้า (ถ้ามี)
  • สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ต้องการรับชำระค่าสินค้า ที่มีชื่อบัญชีตรงตามชื่อที่ปรากฏในหนังสือรับรอง

ทั้งนี้ เอกสารต่างๆ ต้องดำเนินการในนามนิติบุคคล หรือต้องจดทะเบียนบริษัทก่อน

5

2.ค่าใช้จ่าย Open Account

ค่าเปิด Account ครั้งแรก (เสียครั้งเดียว)

เป็นเสมือนค่าแรกเข้า ซึ่งจ่ายครั้งเดียวในตอนแรก เพื่อแลกกับการรับบริการ จำหน่ายสินค้าบนชั้นวาง หรือ Shop, สรุปรายงานการขายรายเดือน, ดูแลสินค้าและอื่นๆ

ค่าบริการจัดการลิสต์สินค้า SKU (เสียรายปี)

เป็นค่านำสินค้าเข้าตามรายการสินค้า ซึ่งแต่ละร้านค้าปลีกสมัยใหม่จะมีค่าใช้จ่ายต่างกัน เช่น 5,000 บาท / 1-4 SKU หรือ 10,000 บาท / 5-10 SKU

ค่า Gross Profit (จีพี)

คือ รายได้จากการขายสินค้าของแต่ละแบรนด์ใน Modern Trade ทางแบรนด์จะต้องแบ่งรายได้ให้กับทางModern Trade เพราะถือเป็นค่าพื้นที่ ค่าสถานที่ ค่าบริหารจัดการของ Modern Trade ซึ่งโดยปกติสัดส่วนจีพีจะเรียกเก็บจากเจ้าของปบรนด์สินค้าประมาณ 30-40% จากรายได้จากการขายสินค้าแต่ละแบรนด์ เช่น สินค้า A ขายราคา 100 บาท เมื่อหักค่าจีพี 40% เจ้าของแบรนด์สินค้าจะได้รับเงินค่าสินค้า A 60 บาท

Distribution Center (ดีซี)

ค่าดีซี เป็นค่ากระจายสินค้า และขนส่งสินค้า ซึ่งในบาง Modern Trade อาจจะหักค่าดีซีจากยอดขายสินค้าของแต่ละแบรนด์ประมาณ 1-3% ซึ่งก่อนที่จะนำเสนอสินค้าเข้า Modern Trade ผู้ประกอบการ SME ต้องศึกษาค่าใช้จ่ายในการนำเสนอสินค้า Modern Trade แต่ละแบรนด์อย่างละเอียด เพราะจะมีความแตกต่างกัน

7

ที่สำคัญผู้ประกอบการ SME ไม่ควรไปตกลงหรือบอกราคาขายสินค้าให้กับ Modern Trade ทราบจนกว่าผู้ประกอบการจะรู้ว่าจะต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง แล้วค่อยนำค่าใช้จ่ายมาคำนวณแล้วบวกลงไปในราคาสินค้า ก่อนจะนำเสนอราคาสินค้า ไม่เช่นนั้นอาจะขาดทุนอย่างแน่นอน เพราะผู้ประกอบอาจโดนบวกค่านู่นค่านี่ทั้งปีทั้งชาติ หากจะขอขึ้นราคาสินค้าอาจเป็นเรื่องยากในภายหลัง อีกทั้งช่วงขึ้นราคายังต้องชดเชยสต็อกสินค้าเก่าให้กับ Modern Trade ด้วย

ข้อมูลจาก https://bit.ly/3NwSzgU , https://bit.ly/3tNRpWi

อ้างอิงจาก https://bit.ly/3GwrgQr

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise


8 ขั้นตอน การพัฒนาระบบแฟรนไชส์

1. การวางแผนธุรกิจ ก่อนทำแฟรนไชส์

  • กำหนดรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ให้มีความชัดเจน โดนใจลูกค้า
  • ชื่อกิจการ (Brand)
  • การสร้างผลการดำเนินธุรกิจที่ดี ได้ผลกำไร มีความมั่นคง (Good ROI)
  • การสร้างแบรนด์ ตราสินค้า ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักผู้บริโภค
  • การพัฒนาสินค้าบริการ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน
  • การพัฒนาระบบบริการจัดการ จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • วางโครงสร้างองค์กรใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร ทีมงาน สนับสนุนระบบแฟรนไชส์
  • การวางแผน และกำหนดเป้าหมายการขยายธุรกิจ การขยายสาขา ทั้งในและต่างประเทศ
  • การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจ ทำเลที่ตั้ง และรูปแบบของร้านค้า
  • การเลือกใช้สื่อต่างๆ ช่องทางต่างๆ ในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างแบรนด์แฟรนไชส์

2. การรวบรวมข้อมูลธุรกิจ

  • ระบบการปฏิบัติงาน วิธีการบริหารจัดการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
  • ระบบการเงิน การบัญชี
  • งบประมาณในการลงทุนธุรกิจ การขยายสาขา
  • รูปแบบของร้านค้า รูปแบบของตราสินค้า ที่เป็นเอกลักษณ์
  • ระบบการสต็อกสินค้า จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • แผนงานการตลาด การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • กระบวนการพัฒนาบุคลากร ทีมงานด้านต่างๆ

3. การวิเคราะห์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • ธุรกิจเปิดมานานหลายปี จำนวนไม่น้อยกว่า 1สาขา
  • แบรนด์มีชื่อเสียงได้รับความนิยม เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้าง
  • สินค้าและบริการ มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด
  • เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มีผลกำไร ต่อเนื่อง เป็นที่น่าพอใจ
  • มีระบบการทำงาน การปฏิบัติงาน แผนการทำงานที่ชัดเจน สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นได้
  • มีระบบการพัฒนาบุคลากร และสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง เป็นมาตรฐาน
  • ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • แผนกลยุทธ์การขยายสาขา และเติบโตต่อเนื่อง เป็นรายเดือน หรือ รายปี

4. การวางโครงสร้างของระบบแฟรนไชส์

  • กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค
  • การสร้างองค์ความรู้ ระบบปฏิบัติงานต่างๆ ที่พร้อมถ่ายทอดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • วางระบบการปฏิบัติงานของแต่ละขั้นตอนธุรกิจ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่าย
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย แต่ละแผนกให้ชัดเจน รวมถึงขั้นตอนการอบรม ระบบตรวจสอบ เพื่อสร้างมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์
  • สร้างระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซี หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • การกำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ ในการขยายสาขาแฟรนไชส์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า (ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์)
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงแก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ช่วงเริ่มต้นได้
  • เงื่อนไขการเปิดสาขาในด้านต่างๆ

5. การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายแฟรนไชส์
  • ระบบการเงิน
  • ค่าธรรมเนียมต่างๆ
  • ข้อเสนอแฟรนไชส์ซี
  • การจดทะเบียนแฟรนไชส์
  • เรื่องกฎหมาย อายุสัญญาแฟรนไชส์
  • ระบบปฏิบัติงาน รูปแบบการให้สิทธิ
  • การตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์
  • แพ็คเกจต่างๆ ระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซีอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำคู่มือแฟรนไชส์ หรือโปรแกรมแฟรนไชส์
  • การจัดทำสัญญาแฟรนไชส์ รวมถึงเครื่องหมายการค้า

6. การวางแผนเพื่อขยายสาขาธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ เจ้าของแฟรนไชส์จะบริหารจัดการเองทุกอย่าง เพื่อสร้างความโดดเด่น สร้างความเด่นชัดให้แก่นักลงทุน ได้เห็นภาพของร้านที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนเปิดสาขาแฟรนไชส์ในภายหลัง
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟนไชส์ คือ เมื่อสาขาแรกมีความแข็งแกร่ง มั่นคง มีผลกำไรต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ แล้ว ก็ทดลองขยายสาขาเพิ่มอีก เพื่อทดสอบสาขาที่ 2 เป็นอย่างไร โดยนำเอาระบบการปฏิบัติงานทุกอย่างของร้านสาขาแรกมาปฏิบัติ ถ้าประสบความสำเร็จ ก็ค่อยขยายสาขาตัวเองเพิ่มอีก 2-3 สาขา ถ้าประสบความสำเร็จเหมือนสาขาแรก ก็ค่อยคิดขายแฟรนไชส์ให้กับคนอื่น

7. กระบวนการพัฒนาและปรับปรุงระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ระบบการบริหารจัดการในร้าน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน)วิเคราะห์ระบบการเงิน การลงทุน ในแต่ละสาขาที่เปิดทดลอง
  • พิจารณาปรับปรุงระบบงาน ระบบการทำงานต่างๆ ให้เหมาะสม
  • ระบบการพัฒนาทีมงานรองรับการขยายงาน ขยายสาขา
  • การวางแผนงานขยายสาขาแฟรนไชส์
  • เก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ กลุ่มลูกค้า ผลประกอบการ การดำเนินงาน ของสาขาแรก หรือสาขาต้นแบบ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ก่อนเปิดสาขาที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และขายแฟรนไชส์
  • จัดวางงบประมาณ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการขยายธุรกิจแฟรนไชส์

8. แผนการตลาดของธุรกิจแฟรนไชส์

  • การจัดทำคู่มือต่างๆ เพื่อแนะนำธุรกิจแฟรนไชส์
  • กระบวนการขายแฟรนไชส์ การคัดเลือกผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • กระบวนการติดตามลูกค้าเป้าหมาย
  • การนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ในงานแสดงธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • การจัดงาน สัมมนาการขายธุรกิจ แฟรนไชส์
  • การเปิดเยี่ยมชมธุรกิจ ร้านต้นแบบแฟรนไชส์
  • กระบวนการคัดเลือกแฟรนไชส์ซีที่เหมาะสม ตามหลักมาตรฐานแฟรนไชส์สากล
  • กระบวนการถ่ายทอดความรู้ การอบรม และให้คำปรึกษาแก่แฟรนไชส์ซี

สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช