ลงทุนไหนดี? MIXUE vs 7-Eleven สร้างรายได้ รวยรัวๆ
MIXUE กระแสยังไม่ตกในไทย สาขาน่าจะมีเกือบ 250 สาขาไปแล้ว เพราะมีคนสอบถามเรื่องการลงทุนแฟรนไชส์แทบทุกวัน ถ้าถามว่าซื้อแฟรนไชส์ MIXUE vs 7-Eleven แบรนด์ไหนน่าสนใจลงทุนมากกว่ากัน ต้องบอกก่อนว่าขึ้นอยู่ความชอบของแต่ละคน ควรนำองค์ประกอบต่างๆ มาวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจ เพราะทั้ง 2 แบรนด์มีสินค้าและฐานกลุ่มลูกค้าต่างกัน
ก่อนอื่นมาดูก่อนว่าเปิดร้าน MIXUE ใช้เงินลงทุนทั้งหมดเท่าไหร่ และคืนทุนได้เมื่อไหร่
#ค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน MIXUE
- ค่าแฟรนไชส์ 50,000 บาท/ปี (3 ปี = 150,000 บาท)
- ค่าจัดการ 25,000 บาท/ปี (3 ปี = 75,000 บาท)
- ค่าอบรม 10,000 บาท/ปี (3 ปี = 30,000 บาท)
- ค่าค้ำประกัน 100,000 บาท
- ค่าอุปกรณ์ 450,000 บาท
- ค่าวัตถุดิบ 250,000 บาท
- ค่าสำรวจพื้นที่ กรุงเทพฯ 2,500 บาท/ครั้ง, ต่างจังหวัด 5,000 บาท/ครั้ง
- สมมติค่าก่อสร้าง+ออกแบบตกแต่งร้านประมาณ 500,000 บาท
#รวมเงินลงทุนเปิดร้านทั้งหมด 1,557,500 บาท
#สมมติให้ยอดขายของ MIXUE เป็น 20,000 บาทต่อวัน เพราะแบรนด์มีชื่อเสียง ลูกค้าอาจใช้บริการเยอะ
- ยอดขาย 20,000 บาทต่อวัน
- หรือ 600,000 บาทต่อเดือน
- คิดกำไรขั้นต้น 40%
- เหลือรายได้ 240,000 บาทต่อเดือน
#ต้นทุนคงที่
- ค่าเช่าประมาณ 50,000 บาท
- ค่าน้ำ+ไฟ 10,000 บาท
- จ้างพนักงาน 4 คน เงินเดือนเฉลี่ยคนละ 13,000 บาท (52,000 บาท)
#รวมต้นทุนคงที่ 112,000 บาทต่อเดือน
#รายได้ต่อเดือน 240,000 บาท – ต้นทุนคงที่ 112,000 บาท
#เหลือกำไร 128,000 บาทต่อเดือน (กำไรที่ได้ยังไม่ได้หักค่าภาษีป้าย+ภาษีโรงเรือน+ค่าซ่อมบำรุงอุปกรณ์)
สรุปก็คือ เปิดร้าน MIXUE ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,557,500 บาท ระยะสัญญา 3 ปี
ระยะเวลาคืนทุน 1,557,500 บาท หารด้วยกำไรสุทธิ 128,000 บาท = 12-13 ดือน
#ค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน 7-Eleven
ก่อนอื่นมาดูสัดส่วนรายได้ในร้าน 7-Eleven แบ่งออกเป็นสินค้าอุปโภค 24% ที่เหลือ 76% เป็นสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม แต่ละสาขาของ 7-Eleven มียอดขายเฉลี่ยต่อวัน 86,656 บาท ยอดซื้อต่อบิล 85 บาท มีจำนวนลูกค้าเฉลี่ยต่อวัน 1,007 คน
การเปิดแฟรนไชส์ร้าน 7-Eleven หรือการเป็น Store Business Partner มีให้เลือก 2 รูปแบบ
#รูปแบบที่ 1
- เงินลงทุน 4.8 แสนบาท
- เงินประกัน 1 ล้านบาท
รวมแล้วต้องมีเงินให้กับทาง 7-Eleven ประมาณ 1.48 ล้านบาท อายุสัญญา 6 ปี
Store Business Partner เข้าไปเป็นผู้จัดการร้าน มีเงินเดือน 29,000 บาท ต้องบริหารค่าใช้จ่ายให้ได้ตามงบ ย้ำว่าค่าใช้จ่ายไม่ใช่ยอดขาย ค่าใช้จ่ายก็มี ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์หลัก และอื่นๆ
ถ้าบริหารร้านได้ตามเป้างบค่าใช้จ่าย จะมีปันผลแบ่งยอดกำไรจากการขายให้ 20-30% ในส่วนที่มียอดขายเกินเป้า
#รูปแบบที่ 2
- เงินลงทุน 1.73 ล้านบาท
- เงินประกัน 9 แสนบาท
รวมแล้วต้องมีเงินให้กับทาง 7-Eleven = 2.63 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี
ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้ส่วนแบ่งจากกำไร 54% (ยังไม่ได้หักค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างพนักงาน และอื่นๆ ในร้าน)
การเป็น Store Business Partner ทั้ง 2 รูปแบบ ผู้ลงทุนไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้า วัสดุอุปกรณ์ และการก่อสร้างออกแบบตกแต่งร้าน ทางซีพีออลล์เป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด รวมถึงค่าเช่า ภาษีป้าย ภาษีที่ดิน และอื่นๆ
เปิดร้าน 7-Eleven จำนวน 1 สาขา คืนทุนเมื่อไหร่
ยกตัวอย่างการเป็น Store Business Partner รูปแบบที่ 2 จากการสอบถามคนลงทุนจริงๆ ใช้เงินลงทุนเปิดร้าน 7-Eleven ประมาณ 3,900,000 บาท (สูงกว่าตัวเลข 2.63 ล้านบาท ที่ทางซีพีออลล์ระบุเอาไว้ในเว็บไซต์)
- ได้ส่วนแบ่งจากกำไร 54% (ยังไม่ได้หักค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างพนักงาน และอื่นๆ ในร้าน)
- ตัวเลขสถิติร้าน 7-Eleven มียอดขายเฉลี่ยต่อวัน = 86,656 บาท
- ยอดขายต่อเดือน = 2,599,680 บาท
- กำไรธุรกิจค้าปลีกประมาณ 15%
เมื่อนำยอดขายมาหัก 15% ออกก็จะเหลือรายได้ 389,952 บาท/เดือน/สาขา (ยังไม่หักค่าจ้างพนักงาน และค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ)
#ค่าใช้จ่ายในร้าน
- ค่าจ้างพนักงาน 8 คน = 104,000 บาท/เดือน (เฉลี่ย 13,000 บาท/คน)
- ค่าน้ำ+ค่าไฟ 50,000 บาท/เดือน
- สินค้าหมดอายุ+อุปกรณ์ต่างๆ ชำรุด 20,000 บาท/เดือน
- รวมค่าใช้จ่ายในร้านเฉลี่ยต่อเดือน = 174,000 บาท
#กำไรสุทธิต่อเดือน 389,952 – 174,000 = 215,952 บาท
#Store Business Partner มีส่วนแบ่งจากกำไร 54% = 116,614 บาท/เดือน (ยังไม่หักเงินเดือนตัวเอง)
- ระยะเวลาสัญญา 10 ปี
งบลงทุน 3,900,000 บาท หารด้วยรายได้สุทธิต่อเดือน 176,614 บาท = คืนทุน 22 เดือน
ลงทุนไหนดี? MIXUE vs 7-Eleven มาวิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสียกัน
#MIXUE
ข้อดี
- กระแสแรง – MIXUE กระแสแรงได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น ราคาโดนใจ 15-50 บาท
- ลงทุนต่ำ – ใช้เงินลงทุนประมาณ 1.5 ล้านบาท ถูกกว่า 7-Eleven
- มีโอกาสเติบโต – ตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟและชาผลไม้ในไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีก
ข้อเสีย
- การแข่งขันสูง – ปัจจุบันมีคู่แข่งในตลาดไอศกรีมและชาผลไม้มากมาย อาทิ Ai-Cha, WEDRINK, Bing Chun, แดรี่ควีน, แมคฯ, เคเอฟซี และร้านชาผลไม้จีนอีกหลาย 10 แบรนด์ในไทย ไม่นับสาขา MIXUE ด้วยกันเอง
- กระแสอาจลดลงในอนาคต – คนไทยมักเห่อของใหม่ พออีกสักพักจะเบื่อ ในอนาคตสินค้าไอศกรีมและชาผลไม้อาจตกกระแส เพราะการแข่งขันสูง มีหลายแบรนด์ให้เลือกกิน หากเปิดร้านอาจมีความเสี่ยงก็เป็นได้
#7-Eleven
ข้อดี
- แบรนด์แข็งแกร่ง – มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและมีความเชื่อถือจากลูกค้า เป็นร้านสะดวกซื้อเบอร์ 1 ของไทยและทั่วโลก
- ทำเลที่ตั้ง – มีสาขามากมายกว่า 14, 000 แห่ง ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและสะดวก มีฐานลูกค้ารองรับทั่วประเทศ
- สินค้าหลากหลาย – มีสินค้าและบริการที่หลากหลาย ทั้งสินค้าอุปโภค-บริโภค การันตีมียอดขายเฉลี่ยต่อวัน 86,656 บาท
- เปิด 24 ชั่วโมง – สามารถทำเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ข้อเสีย
- การลงทุนสูง – การลงทุนเปิดร้านใช้เงิน 3.2-3.9 ล้านบาทในรูปแบบที่ 2 สูงกว่าลงทุน MIXUE
- การแข่งขันจากร้านสะดวกซื้ออื่นๆ – เช่น CJ, มินิบิ๊กซี, โลตัส, Tops Daily, Lawson รวมถึงสาขา 7-Eleven ด้วยกันเอง
สรุปคือ หากคุณชอบกระแสแรงของตลาดไอศกรีมและชาผลไม้ ใช้เงินลงทุนต่ำ อาจเลือกเปิดร้าน MIXUE แต่ถ้าต้องการความมั่นคง แบรนด์มีชื่อเสียง มีฐานลูกค้าทั่วประเทศ การลงทุนเปิดร้าน 7-Eleven น่าจะเหมาะสมกว่า แต่ต้องดูแนวโน้มตลาดและสถานการณ์ให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยนะครับ
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)