รวมเทคนิค ขอกู้เงิน ผ่านง่าย ได้ไว สมใจนึก!
อยากทำธุรกิจแต่ไม่มีเงินทุน สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือ “กู้เงิน” ปัจจุบันมีสถาบันการเงินหลายแห่งพร้อมปล่อยกู้ให้คนสนใจได้นำเงินมาเริ่มต้นธุรกิจ รวมถึงคนที่ต้องการขยายธุรกิจที่ตัวเองทำอยู่ก็สามารถขอกู้ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี www.ThaiSMEsCenter.com เชื่อว่าปัญหาที่หลายคนเจอคือ “กู้ไม่ผ่าน” ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้เกิดปัญหาดังกล่าว และเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องน่าปวดหัวนี้กวนใจคนอยากกู้ลองมาดูเทคนิคที่น่าสนใจ ถ้าทำตามนี้รับรองว่าจะกู้เงินผ่านง่าย ผ่านไว สมใจนึกมากขึ้น
1.เตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อม
เป็นเรื่องพื้นฐานในการกู้เงินที่เราควรเตรียมหลักฐานทุกอย่างให้พร้อมการเตรียมเอกสารหลักฐานอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของสินเชื่อที่ต้องการ โดยมี 3 กลุ่มหลักคือ เอกสารประจำตัวเช่น สำเนาบัตรประชาชน , สำเนาทะเบียนบ้าน , สำเนาทะเบียนสมรส เป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องมีเอกสารเกี่ยวกับรายได้ เช่น สมุดบัญชีเงินฝาก , หลักฐานการรับหรือจ่ายเงิน เป็นต้น สุดท้ายเอกสารที่สถาบันอาจต้องการเช่น สำเนาโฉนดที่ดิน (สำหรับค้ำประกัน) , เอกสารสำคัญของผู้กู้ร่วม , แผนธุรกิจ เป็นต้น
2.ทำประวัติชำระหนี้ให้ดีก่อนกู้เงิน
ก่อนสถาบันการเงินจะอนุมัติปล่อยกู้ มักจะต้องมีการเช็คเครดิตบูโร เพื่อตรวจดูประวัติการชำระหนี้ต่างๆ ถ้าประวัติเราดีก็จะมีผลในการประเมินปล่อยกู้ได้ง่าย ซึ่งแน่นอนว่าสถาบันการเงินก็ต้องประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นหลังปล่อยกู้ หากพิจารณาแล้วมองว่าโอกาสที่ผู้กู้จะผิดชำระหนี้มีมากกว่า การขอกู้เงินก็จะยากขึ้นทันที ดังนั้นก่อนการกู้เงินจำเป็นต้องเคลียร์เครดิตบูโรของเราให้ดีด้วย
3.ไม่ควรมียอดภาระหนี้เกิน 30% ของรายได้
ภาระหนี้ก็มีผลต่อการพิจารณาเงินกู้ ดังนั้นการคิดจะกู้เงินใดๆ ควรเช็คก่อนว่าหนี้สินรวมทั้งหมดไม่ควรเกิน 30% ของรายได้ต่อเดือน ถึงจะมีโอกาสที่จะได้รับการอนุมัติเงินกู้ แต่ถ้าหากมีหนี้ที่เยอะเกินไป ก็อาจจะทำให้สถาบันการเงินมองว่าเราจะไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ แล้วหนี้ที่ยื่นกู้อาจจะเป็นหนี้เสียได้ ดังนั้น เพื่อประเมินความเสี่ยงของธนาคาร จึงไม่ค่อยอนุมัติให้กับคนที่มีภาระหนี้สินที่เกินตัว
4.ยื่นขอกู้เงินจากสถาบันการเงินหลายแห่งในครั้งเดียว
การขอกู้เงินจากสถาบันการเงินหลายแห่งในครั้งเดียว เพื่อให้กระจายความเสี่ยงของเราเองในกรณีที่บางสถาบันการเงินอาจไม่ปล่อยกู้ แต่อาจมีบางสถาบันการเงินที่ยอมอนุมัติปล่อยกู้ เพื่อให้เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการขอกู้ โดยอาจขอกู้สินเชื่อประเภทเดียวกับแต่ต่างสถาบันการเงินสัก 2-3 แห่ง เพื่อจะได้จัดเตรียมเอกสารในครั้งเดียว และถ้าหากไม่มีสถาบันการเงินไหนให้การอนุมัติ ควรจะต้องหยุดพักไว้สักระยะ เพื่อที่จะได้สร้างเครดิตตัวเองให้ดีขึ้นก่อน
5.อย่าขอกู้สินเชื่อบ่อยเกินไป
การขอสินเชื่อที่เหมาะสมไม่ควรทำถี่และบ่อยเกินไปเนื่องจากสถาบันการเงินจะมองว่าเรามีปัญหาเรื่องบริหารการเงินและการขอกู้มากเกินไปจะส่งผลต่อการชำระหนี้ในระยะยาว โดยปกติทุกสถาบันการเงินจะมีข้อมูลของผู้กู้อยู่ในระบบ ซึ่งหากการกู้ครั้งแรกประสบความสำเร็จ การขอกู้ในครั้งที่ 2 จะง่ายขึ้น แต่ก็ควรเว้นระยะห่างให้เหมาะสมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้มากยิ่งขึ้นด้วย
6.เลือกสินเชื่อที่เหมาะสมกับความต้องการ
การขอกู้สินเชื่อจากธนาคารมีรูปแบบสินเชื่อแตกต่างกันไป การขอสินเชื่อให้ถูกประเภท ช่วยให้สถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น โดยสินเชื่อที่น่าสนใจเช่น สินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคล , สินเชื่อเพื่อเริ่มธุรกิจ , สินเชื่อบัตรกดเงินสด เป็นต้น โดยวงเงินและอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อแต่ละประเภทจะแตกต่างกัน จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานจะมีผลต่อการพิจาณาที่ง่ายขึ้น
7.เตรียมหลักฐานการแสดงรายได้ที่ชัดเจน
โดยหลักฐานที่สถาบันการเงินจะขอดูเป็นพิเศษเช่น บัญชีหมุนเวียน เพื่อเช็ก Statement ย้อนหลัง 6 เดือน หรืออาจดูความเคลื่อนไหวทางการเงินของธุรกิจย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อตรวจสอบว่าธุรกิจมีรายรับ – รายจ่ายเท่าไร มีกำไรมากน้อยแค่ไหน และมีเงินคงเหลือเท่าไร ซึ่งใช้ประกอบกับการพิจารณาว่า เราจะสามารถผ่อนชำระคืนกับสถาบันการเงินตามวงเงินที่ขอกู้มาได้หรือไม่ ถ้าเอกสารในส่วนนี้ไม่ชัดเจนตัวเลขรายได้ไม่แน่นอน การพิจารณาส่วนใหญ่จะมองว่าผู้กู้อาจไม่มีความสามารถในการชำระคืนที่ดีพอ ก็ปล่อยกู้ไม่ได้
8.เตรียมหลักทรัพย์ค้ำประกันที่มากพอ
โดยเฉพุการกู้เงินเพื่อเริ่มธุรกิจจำเป็นต้องใช้วงเงินที่มากพอควร ดังนั้นสถาบันการเงินจำเป็นต้องการหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน หลายคนลาออกจากงานประจำเพื่อมาสร้างธุรกิจ ที่อาจจะยังไม่มีทุนสร้างทรัพย์สินมากนัก ทำให้ธุรกิจ SME ส่วนใหญ่ไม่มีหลักทรัพย์ที่เพียงพอในการใช้ค้ำประกัน ทำให้สถาบันการเงินมองว่าไม่มีความมั่นคงเพียงพอที่จะชำระ โดยสินทรัพย์ค้ำประกันส่วนมาก ได้แก่ สิ่งปลูกสร้าง บ้าน ที่ดิน รถยนต์ หรือทรัพย์สินมีค่าต่างๆ ตามแต่ผู้ให้บริการแหล่งเงินทุนเห็นว่าสามารถใช้ค้ำประกันสินเชื่อเพื่อธุรกิจได้
9.เขียนแผนธุรกิจให้ชัดเจนน่าสนใจ
ในกรณีที่ต้องการขอกู้เงินเพื่อทำธุรกิจจำเป็นอย่างมากที่ต้องมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน โดยแผนธุรกิจจะต้องแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ วิสัยทัศน์ (Vision) ภารกิจ (Mission) วัตถุประสงค์ (Objective) เป้าหมาย (Goal) และแผนการดำเนินงานของกิจการ การเขียนแผนธุรกิจที่ดี ผู้ประกอบการควรสะท้อนแผนธุรกิจที่มีความเป็นไปได้ และสอดคล้องกับความเป็นจริง
โดยแผนธุรกิจที่ดีที่จะขอกู้เงินผ่านง่ายจะดูจากความเป็นไปได้ของโครงการ , มูลค่าการลงทุนที่ต้องใช้เงินอย่างเหมาะสม , การมีแผนสำรองในกรณีฉุกเฉิน , ความน่าสนใจของสินค้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
10.ใช้วิธี “กู้ร่วม” จะอนุมัติได้ง่ายขึ้น
การกู้ร่วมคือการทำสัญญายื่นกู้สินเชื่อก้อนเดียวกัน เพื่อให้ทางสถาบันการเงินเห็นว่าจะคนมาช่วยรับผิดชอบชำระหนี้จะ ทำให้ขออนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้น หรือได้วงเงินสูงขึ้น โดยปกติแล้วจะกู้ร่วมได้ไม่เกิน 3 คน สามารถกู้ร่วมได้ในสินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ โดยผู้กู้ร่วมได้จะต้องเป็นคนที่มีนามสกุลเดียวกัน เช่น พี่ น้อง พ่อ แม่ ลูก หรือพี่น้องท้องเดียวกันแต่คนละนามสกุลก็กู้ร่วมได้แต่ต้องแสดงทะเบียนบ้านหรือสูติบัตรว่ามีพ่อแม่คนเดียวกัน รวมถึงผู้กู้ร่วมที่เป็นสามี-ภรรยา เป็นต้น
อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะมีเทคนิคหรือการเตรียมความพร้อมก่อน ขอกู้เงิน มากสักแค่ไหน สิ่งสำคัญกว่าคือหลังจากที่ได้รับเงินกู้มาแล้ว ต้องมีการวางแผนในการชำระหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการขอกู้ก็ไม่ควรให้เกินพอดีจนไม่มีความสามารถในการชำระคืน การขอกู้จากสถาบันการเงินหนึ่งเพื่อนำมาปิดหนี้อีกสถาบันการเงินหนึ่ง อาจทำได้แต่ในระยะยาวย่อมส่งผลต่อผู้กู้อย่างชัดเจน ดังนั้นวิธีบริหารการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญโดยเงินกู้เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการนำมาใช้ที่ต้องระมัดระวังให้มาก
ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/3PCXIVD , https://bit.ly/3LANdPf , https://bit.ly/3wFqaig , https://bit.ly/3Ntugzx
อ้างอิงจาก https://bit.ly/3LLKO4s
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
8 ขั้นตอน การพัฒนาระบบแฟรนไชส์
1. การวางแผนธุรกิจ ก่อนทำแฟรนไชส์
- กำหนดรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ให้มีความชัดเจน โดนใจลูกค้า
- ชื่อกิจการ (Brand)
- การสร้างผลการดำเนินธุรกิจที่ดี ได้ผลกำไร มีความมั่นคง (Good ROI)
- การสร้างแบรนด์ ตราสินค้า ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักผู้บริโภค
- การพัฒนาสินค้าบริการ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน
- การพัฒนาระบบบริการจัดการ จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
- วางโครงสร้างองค์กรใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร ทีมงาน สนับสนุนระบบแฟรนไชส์
- การวางแผน และกำหนดเป้าหมายการขยายธุรกิจ การขยายสาขา ทั้งในและต่างประเทศ
- การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจ ทำเลที่ตั้ง และรูปแบบของร้านค้า
- การเลือกใช้สื่อต่างๆ ช่องทางต่างๆ ในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างแบรนด์แฟรนไชส์
2. การรวบรวมข้อมูลธุรกิจ
- ระบบการปฏิบัติงาน วิธีการบริหารจัดการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
- ระบบการเงิน การบัญชี
- งบประมาณในการลงทุนธุรกิจ การขยายสาขา
- รูปแบบของร้านค้า รูปแบบของตราสินค้า ที่เป็นเอกลักษณ์
- ระบบการสต็อกสินค้า จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
- แผนงานการตลาด การส่งเสริมการขายต่างๆ
- กระบวนการพัฒนาบุคลากร ทีมงานด้านต่างๆ
3. การวิเคราะห์ธุรกิจแฟรนไชส์
- ธุรกิจเปิดมานานหลายปี จำนวนไม่น้อยกว่า 1สาขา
- แบรนด์มีชื่อเสียงได้รับความนิยม เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้าง
- สินค้าและบริการ มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด
- เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มีผลกำไร ต่อเนื่อง เป็นที่น่าพอใจ
- มีระบบการทำงาน การปฏิบัติงาน แผนการทำงานที่ชัดเจน สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นได้
- มีระบบการพัฒนาบุคลากร และสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง เป็นมาตรฐาน
- ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ การส่งเสริมการขายต่างๆ
- แผนกลยุทธ์การขยายสาขา และเติบโตต่อเนื่อง เป็นรายเดือน หรือ รายปี
4. การวางโครงสร้างของระบบแฟรนไชส์
- กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค
- การสร้างองค์ความรู้ ระบบปฏิบัติงานต่างๆ ที่พร้อมถ่ายทอดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- วางระบบการปฏิบัติงานของแต่ละขั้นตอนธุรกิจ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่าย
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย แต่ละแผนกให้ชัดเจน รวมถึงขั้นตอนการอบรม ระบบตรวจสอบ เพื่อสร้างมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์
- สร้างระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซี หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์
- การกำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ ในการขยายสาขาแฟรนไชส์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า (ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์)
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงแก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ช่วงเริ่มต้นได้
- เงื่อนไขการเปิดสาขาในด้านต่างๆ
5. การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจแฟรนไชส์
- แผนการขยายแฟรนไชส์
- ระบบการเงิน
- ค่าธรรมเนียมต่างๆ
- ข้อเสนอแฟรนไชส์ซี
- การจดทะเบียนแฟรนไชส์
- เรื่องกฎหมาย อายุสัญญาแฟรนไชส์
- ระบบปฏิบัติงาน รูปแบบการให้สิทธิ
- การตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์
- แพ็คเกจต่างๆ ระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซีอย่างต่อเนื่อง
- การจัดทำคู่มือแฟรนไชส์ หรือโปรแกรมแฟรนไชส์
- การจัดทำสัญญาแฟรนไชส์ รวมถึงเครื่องหมายการค้า
6. การวางแผนเพื่อขยายสาขาธุรกิจแฟรนไชส์
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ เจ้าของแฟรนไชส์จะบริหารจัดการเองทุกอย่าง เพื่อสร้างความโดดเด่น สร้างความเด่นชัดให้แก่นักลงทุน ได้เห็นภาพของร้านที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนเปิดสาขาแฟรนไชส์ในภายหลัง
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟนไชส์ คือ เมื่อสาขาแรกมีความแข็งแกร่ง มั่นคง มีผลกำไรต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ แล้ว ก็ทดลองขยายสาขาเพิ่มอีก เพื่อทดสอบสาขาที่ 2 เป็นอย่างไร โดยนำเอาระบบการปฏิบัติงานทุกอย่างของร้านสาขาแรกมาปฏิบัติ ถ้าประสบความสำเร็จ ก็ค่อยขยายสาขาตัวเองเพิ่มอีก 2-3 สาขา ถ้าประสบความสำเร็จเหมือนสาขาแรก ก็ค่อยคิดขายแฟรนไชส์ให้กับคนอื่น
7. กระบวนการพัฒนาและปรับปรุงระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ระบบการบริหารจัดการในร้าน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน)วิเคราะห์ระบบการเงิน การลงทุน ในแต่ละสาขาที่เปิดทดลอง
- พิจารณาปรับปรุงระบบงาน ระบบการทำงานต่างๆ ให้เหมาะสม
- ระบบการพัฒนาทีมงานรองรับการขยายงาน ขยายสาขา
- การวางแผนงานขยายสาขาแฟรนไชส์
- เก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ กลุ่มลูกค้า ผลประกอบการ การดำเนินงาน ของสาขาแรก หรือสาขาต้นแบบ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ก่อนเปิดสาขาที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และขายแฟรนไชส์
- จัดวางงบประมาณ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการขยายธุรกิจแฟรนไชส์
8. แผนการตลาดของธุรกิจแฟรนไชส์
- การจัดทำคู่มือต่างๆ เพื่อแนะนำธุรกิจแฟรนไชส์
- กระบวนการขายแฟรนไชส์ การคัดเลือกผู้ซื้อแฟรนไชส์
- กระบวนการติดตามลูกค้าเป้าหมาย
- การนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ในงานแสดงธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- การจัดงาน สัมมนาการขายธุรกิจ แฟรนไชส์
- การเปิดเยี่ยมชมธุรกิจ ร้านต้นแบบแฟรนไชส์
- กระบวนการคัดเลือกแฟรนไชส์ซีที่เหมาะสม ตามหลักมาตรฐานแฟรนไชส์สากล
- กระบวนการถ่ายทอดความรู้ การอบรม และให้คำปรึกษาแก่แฟรนไชส์ซี
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)