รวม 5 เทคนิคเพิ่มยอดขาย จากการใช้ “คนละครึ่ง-เราชนะ”
สำหรับมาตรการของภาครัฐทั้ง “ คนละครึ่ง ” “เราชนะ” “เรารักกัน” ล้วนแต่เป็นมาตรการต่อเนื่องที่พยายามผลักดันให้ประชาชนได้ออกมาจับจ่าย ให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ในมุมของชาวบ้านคงไม่ได้สนใจเรื่อง GDP จะโตหรือไม่โต แต่มาตรการเหล่านี้มีผลให้คนออกมาใช้จ่ายมากขึ้นได้จริง
โดย www.ThaiSMEsCenter.com มีข้อมูลจากหอการค้าไทย ที่ระบุว่าเม็ดเงินจากโครงการ”เราชนะ” 2.1 แสนล้านบาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 1.2% ส่วนโครงการ “คนละครึ่ง” เม็ดเงิน 53,000 ล้านบาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 0.3% และโครงการ “เรารักกัน” 40,000 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 0.2% ซึ่งหากรวมมาตรการทั้งหมดแล้ว จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นอีก 1.7%
สถิติน่าสนใจของโครงการ คนละครึ่ง – เราชนะ
ทั้งคนละครึ่ง และเราชนะ เป็นมาตรการที่ได้ความนิยมต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นต้นมา มีการเพิ่มวงเงินสำหรับโครงการนี้มากขึ้นเพื่อให้เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น ข้อมูลจากปี 2563 ที่ผ่านมาระบุว่า
- มีผู้ใช้สิทธิ์แล้ว 8.77 ล้านคน จากเป้าหมายผู้เข้าร่วมโครงการ 10 ล้านคน (ข้อมูลปี 2563)
- ยอดการใช้จ่ายสะสม 18,797 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินที่ประชาชนจ่าย 9,581 ล้านบาท เงินที่ภาครัฐร่วมจ่าย 9,216 ล้านบาท
- ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้ง คือ 200 บาท
- เฉลี่ยเงินสะพัด วันละ 723 ล้านบาท
- 5 จังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, สงขลา, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี, เชียงใหม่
- ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เป็นร้านอาหารและเครื่องดื่มกว่า 2.28 แสนร้าน, ร้านธงฟ้า 4.42 หมื่นร้าน, ร้านโอท็อป 1.52 หมื่นร้าน และ ร้านค้าทั่วไป 1.28 แสนร้าน
- ร้านอาหารสตรีทฟู้ด มียอดขายเติบโต 2-3 เท่า ในช่วง 2 สัปดาห์
ซึ่งร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ‘คนละครึ่ง’ จะรับเงินจากลูกค้าได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน ‘ถุงเงิน’ โดยร้านค้าจะได้รับเงินทุกวันในส่วนที่ประชาชนชำระ โดยช่วงเวลาการโอนเงินให้ร้านค้าจะทยอยโอนเงินให้ร้านค้าจะทยอยโอน ตั้งแต่ 02:00 น. เป็นต้นไป
ไม่เกิน 06:00 น. และในส่วนของภาครัฐที่สมทบให้อีกครึ่งหนึ่งจะได้รับในวันทำการถัดไป หากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จะได้รับวันจันทร์โดยช่วงเวลาที่รับเงินโอนจากภาครัฐ คือ ตั้งแต่ช่วง 17:30 น. เป็นต้นไป ไม่เกิน 19:00 น.
แน่นอนว่าสิ่งที่น่าสนใจเมื่อมี มาตรการกระตุ้นการซื้อขายแบบนี้ พ่อค้าแม่ค้าควรจะมีวิธีอะไรที่เอามาใช้ร่วมกันบ้าง เพื่อจะได้เพิ่มยอดขายได้มากขึ้น
รวม 5 เทคนิคเพิ่มยอดขาย จากการใช้ “คนละครึ่ง-เราชนะ
แนะนำว่า “พ่อค้าแม่ค้า” ไม่ควรปฏิเสธโครงการเหล่านี้เพราะเป็นโอกาสดีๆ ที่จะช่วยกระตุ้นการจำหน่ายสินค้าให้มากขึ้น หากวัดจากความรู้สึกของประชาชนแล้วจะเลือกจับจ่ายกับร้านที่ “เข้าร่วมโครงการ” ซึ่งสร้างยอดขายเพิ่มกว่าเท่าตัว ซึ่งมีเทคนิคที่แนะนำให้ใช้ร่วมกันดังนี้
1.ติดป้ายหน้าร้านให้ชัดเจนว่า “เข้าร่วมโครงการใดบ้าง”
ส่วนใหญ่ร้านที่เข้าร่วมคนละครึ่งจะได้รับสิทธิต่อเนื่องกับโครงการเราชนะ และเราเรากัน ซึ่งร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการจะได้รับป้ายสำหรับติดหน้าร้าน ซึ่ง “ควรติดในจุดที่ลูกค้ามองเห็นได้ชัด” จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น
2.ให้คำอธิบายกับลูกค้าอย่างใจเย็น
ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่จะใช้แอปเป๋าตังเป็น บางคนอาจเป็นคุณลุงคุณป้า ที่อายุมาก ๆมักจะไม่เข้าใจวิธีการใช้ หรือบางทีใช้ไม่เป็นกันเลยทีเดียว หน้าที่ของร้านค้าคือต้องให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่มนี้ แม้ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ไม่ควรแสดงอารมณ์ไม่พอใจเมื่อลูกค้าถามว่า “เราต้องทำอย่างไร” ลูกค้าบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในแอปเป๋าตังค์ตัวเองมีวงเงินเหลือเท่าไหร่ ยอดการใช้ต่อวันเหลือเท่าไหร่ ตรงนี้พ่อค้าแม่ค้าต้องใจเย็นและอธิบายลูกค้าอย่างสุภาพ เมื่อโครงการนี้หมดระยะเวลาการใช้ ลูกค้าจะได้จดจำภาพลักษณ์ดีๆ ของร้านค้าเราไปด้วย
3.ควรมีคนช่วยขาย ไม่ควรอยู่ร้านคนเดียว
พ่อค้าแม่ค้าบางคนเปิดร้านขายของคนเดียว แต่บางทีการใช้สิทธิคนละครึ่ง หรือเราชนะ ไม่เหมือนการจ่ายเงินสดที่รับเงินมาแล้วก็จบ การใช้แอปเป๋าตังค์ บางครั้งเราต้องเสียเวลาในการสแกน ขึ้นอยู่กับความเร็วของอินเทอร์เนต บางคนสแกนไม่ผ่าน ต้องสแกนใหม่ อาจมีปัญหากับลูกค้าคนอื่นที่มารอคิวได้ จึงควรมีผู้ช่วยในการขาย เพื่อให้การขายรวดเร็วมากขึ้น
4.รักษาคุณภาพและปริมาณสินค้าให้เหมือนเดิม
เสียงจากประชาชนบางส่วนที่มองว่าถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าแม่ค้าเมื่อมีโครงการคนละครึ่ง หรือเรารักกัน คือการลดปริมาณสินค้าให้น้อยลง ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค เพราะในความเป็นจริง พ่อค้าแม่ค้าไม่ได้มีต้นทุนเพิ่มขึ้นและยังได้รับค่าสินค้าเต็มจำนวน ดังนั้นจึงไม่ควรลดปริมาณสินค้าให้น้อยลง เพราะจะกลายเป็นภาพจำให้ลูกค้ารู้สึกว่าร้านค้านี้เอาเปรียบและไม่กลับมาใช้บริการอีกในอนาคต
5.ห้ามทำผิดกฏข้อบังคับการใช้สิทธโครงการ
พ่อค้าแม่ค้าบางคนนึกว่าตัวเองฉลาดและใช้สารพัดวิธีเอาเงินจากโครงการคนละครึ่ง หรือเรารักกันมาใช้แบบผิดวิธี ซึ่งมีรายงานการจับกุมในหลายพื้นที่ให้ทราบเป็นระยะ ๆ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะหากถูกจับกุมโทษหนักจำคุก 7ปี หรือ ปรับไม่เกิน 140,000 บาท แถมจะกลายเป็นบุคคลที่มีประวัติเสีย และอาจถูกตัดสิทธิไม่ให้เข้าร่วมโครงการต่างของภาครัฐที่อาจมีขึ้นในครั้งต่อไป
สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับของมาตรการคนละครึ่งและเราชนะคือทำให้คนไทยอยากออกไปจับจ่ายมากขึ้น เพราะในภาวะที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง การได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลก็ช่วยแบ่งเบาภาระได้บางส่วน แต่หากจะดีกว่าถ้าภาครัฐมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวที่ไม่ใช่การแจกเงินอย่างเดียว ข้อดีของโครงการแบบประชานิยมคือคนส่วนใหญ่พอใจ แต่ก็เป็นผลเสียกับประเทศในระยะยาวเพราะเงินที่เอามาใช้ในโครงการเหล่านี้คือการกู้ยืมที่หากไม่มีแผนสำรองที่ดีอนาคตคนไทยได้เป็นหนี้ต่างชาติกันยาวไปเลยครับพี่น้อง
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/3corFV2
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/37DqAsi , https://bit.ly/37yDhEI , https://bit.ly/2NtHzq7 , https://bit.ly/3kbaBXt , https://bit.ly/3qHAq3P , https://bit.ly/37xr2Iv , https://bit.ly/3qM8c8g
อ้างอิงจาก https://bit.ly/3beVbyN