ทุนจีน! รุกหนักย่านการค้า 40% เป็นของคนจีน

กระแสของ ทุนจีน ที่บุกหนักรุกตลาดธุรกิจเมืองไทยยังคงสร้างความกังวลใจอย่างต่อเนื่อง ถ้ามองดูตัวเลขขณะนี้พบว่ามีคนไทยเชื้อสายจีนมากกว่า 9 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 7 ของประชากรทั้งประเทศ แต่อันที่จริงคนจีน กับคนไทยก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ และการเข้ามาของคนจีนก็มีมาตั้งแต่อดีต แต่ที่ไม่เป็นปัญหาเพราะสมัยก่อนมักเป็นการเข้ามาแบบเสือผืนหมอนใบ มาหล่อหลอมรวมกับสังคมไทย มีเป้าหมายในการทำมาหากินเพื่อสร้างฐานะ

แต่ปัจจุบันนั้นแตกต่างสิ้นเชิง เริ่มตั้งแต่ในเรื่องของเงินทุนและสายป่านที่ยาวกว่า การมีคอนเนคชั่นกับโรงงานการผลิตในจีน และอื่นๆ อีกมากที่ล้วนเป็นปัจจัยให้ทุนจีนในยุคนี้โตเร็วแบบก้าวกระโดด ประเด็นสำคัญที่กังวลกันมากที่สุดคือการเบียดแย่งพื้นที่ในการทำธุรกิจของคนไทย ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจากบริเวณย่านการค้าสำคัญๆ ทุกวันนี้เจอร้านคนจีนเป็นจำนวนมาก

คนจีน ที่เข้ามาในไทยตอนนี้มาในฐานะ “พ่อค้า” ไม่ใช่เสือผืนหมอนใบเหมือนเมื่อก่อน แถมมาพร้อมสินค้า + เงินทุนมหาศาล และมักใช้คนไทยเป็นนอมินี ในการทำธุรกิจ ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมายในเมืองไทย หลังจากนั้นก็จะนำสินค้าจากจีน เข้ามาวางขายที่หน้าร้านโดยตรง และด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า เงินทุนที่มีมากมาย ทำให้นายทุนจีนเหล่านี้ กล้าที่จะใช้วิธีทุ่มตลาด ดัมป์ราคาสินค้าให้ต่ำ จนทำให้ร้านค้าดั้งเดิม อาจไม่สามารถแข่งขันได้

ซึ่งนายทุนจีน ก็จะเข้าเทกโอเวอร์ร้านค้าเหล่านี้ และขยายใหญ่ไปเรื่อย ๆ ร้านค้าที่ได้รับผลกระทบ ก็มีตั้งแต่ร้านขายสินค้า ร้านนวด ไปจนถึงร้านอาหารที่เปิดมานานหลายสิบปี และถูกบริหารโดยลูกหลานชาวไทยเชื้อสายจีน มาแล้วหลายรุ่นสุดท้ายก็กลายเป็นเจ้าของพื้นที่เดิมไม่มีกำลังพอจะสู้กับทุนจีนรุ่นใหม่ การถูกกลืนหายไปจากย่านการค้าจึงเป็นเรื่องที่เราเห็นชัดเจนในปัจจุบัน ถ้าหากไปดู 3 ย่านการค้าสำคัญพบว่า

ย่านประตูน้ำ

ทุนจีน
ภาพจาก www.facebook.com/Pratunam.Market.BKK

พบว่ามีทุนจีนเปิดร้านค้าจำหน่ายสินค้าโดยตรงหลากหลายหมวดหมู่ ตั้งแต่เครื่องประดับ ของใช้ส่วนตัว ร้านอาหาร เครื่องดื่ม ซูเปอร์มาร์เก็ต สินค้าสำเร็จรูปต่างๆ หรือถ้าดูข้อมูลภายในห้างซิตี้คอมเพล็กซ์ ซี่งมีล็อคในการเปิดให้เช่าจำนวนมาก

โดยพ่อค้าแม่ค้าคนไทยบางส่วนได้เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น เนื่องจากสู้พิษเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ไม่ไหว ปัญหาหลักคือยอดขายไม่มี แถมเจอค่าเช่าสุดแพง ล็อคร้านค้าขนาด 1.5 x 1 แต่มีค่าเช่าเริ่มต้นที่ 1-2 แสนบาท สำหรับคนไทยที่ทุนน้อยราคานี้สู้ไม่ไหว ส่งผลให้กลุ่มทุนจีนเริ่มเข้ามาแทนที่มากขึ้น

ย่านห้วยขวาง

ทุนจีน
ภาพจาก https://bit.ly/3E0E59a

เป็นย่านการค้าที่ชัดเจนในเรื่องทุนจีนมากที่สุด สำรวจข้างทางตั้งแต่ต้นซอยถึงท้ายซอยเต็มไปด้วยร้านอาหารจีน ร้านหม่าล่า ชาบู มินิมาร์ท ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน ร้านนวดแผนโบราณ คาเฟ่ โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ-จีน ฯลฯ โดยตกแต่งและมีป้ายชื่อร้านเป็นภาษาจีนขนาดใหญ่ ที่น่าสนใจ

หลายร้านเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เพียงเท่านั้น ยังพบเห็นเดลิเวอรี่สัญชาติจีนชื่อ E-Gets ถึงขนาดที่บางคนเรียกย่านการค้านี้ว่าเป็นมณฑลห้วยขวางกันเลยทีเดียว แต่ก็ใช่ว่าในย่านนี้จะไม่มีของคนไทย ก็มีหลายแบรนด์ที่ยังเป็นของไทย แต่ก็ต้องมีสายป่านที่ยาวเพื่อสู้กับเหล่าทุนจีนพวกนี้ได้

สำเพ็ง

ภาพจาก https://bit.ly/3G1fh1g

เป็นย่านการค้าที่เก่าแก่แต่ตอนนี้ก็โดนทุนจีนรุกหนักเช่นกัน นอกจาทุนจีนก็ยังมีลาว กัมพูชา เมียนมา ที่มาดำเนินธุรกิจในรูปแบบรถเข็นแข่งกับคนพื้นที่ ประมาณการว่ามีสัดส่วนกว่า 40%

ข้อมูลน่าสนใจยังระบุว่าเมื่อก่อนคนจีนจะเป็นเพียงคนส่งของให้คนไทยมาใช้ค้าขาย แต่ตอนนี้ทุนจีนนำสินค้าเหล่านั้นมาเปิดขายเองทุกร้านเผชิญกับการตัดราคาและอำนาจเงินที่มากกว่า ลูกค้าก็หนีไปอยู่กับกลุ่มทุนจีน แถมทุนจีนเหล่านี้ยังนิยมลูกจ้างเมียนมาและกัมพูชา ลูกจ้างคนไทยแทบไม่มีให้เห็น

ทำให้ในย่านนี้จากเดิมที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าผ้าและสินค้ากิ๊ฟช็อป ปัจจุบันมีร้านค้าจีนเพิ่มขึ้นมาก ผู้ค้าไทยจำนวนไม่น้อยต้องย้ายออก หรือเปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจ

วิเคราะห์เหตุผลว่าทำไมทุนจีนรุกหนักย่านการค้าเมืองไทยก็สรุปรวมง่ายๆคือ

  • ทุนจีนส่วนใหญ่มีคอนเนคชั่นกับโรงงานผู้ผลิตที่ทำให้ได้เปรียบพ่อค้าแม่ค้าคนไทย
  • เงินทุนในการสู้กับค่าเช่าที่แพงขึ้น ทุนจีนสู้ได้แต่พ่อค้าแม่ค้าคนไทยรับไม่ไหว
  • เรื่องของ Economies of Scale คือได้ต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำมาก ในการสั่งซื้อแต่ละล็อต
  • พ่อค้าแม่ค้าคนไทยสู้สงครามตัดราคาไม่ไหว เพราะมีต้นทุนอื่นที่ต้องแบกรับ

ไม่นับรวมในเรื่องค่าเช่าที่เจ้าของทำเลเองอาจถือคติ “น้ำขึ้นให้รีบตัก” เมื่อเห็นทุนจีนเงินหนาก็พาเหรดกันขึ้นค่าเช่า โดยมีข้อมูลน่าสนใจว่าค่าเช่าอาคารพาณิชย์ ในโซนเยาวราช-สำเพ็ง ปรับตัวสูงขึ้น จากช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ค่าเช่าอยู่ที่ 70,000-100,000 บาทต่อเดือน ปรับขึ้นกลายเป็น 100,000-500,000 บาทต่อเดือน โดยค่าเช่าที่ปรับตัวสูงขึ้น ก็กระทบกับผู้เช่าคนไทยชัดเจน เป็นปัจจัยเสริมเพิ่มเติมให้ทุนจีนรุกย่านการค้าของไทยได้มากขึ้น

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด