“ช้างสามเศียร” ธุรกิจคู่คนไทยกว่า 92 ปี รายได้กว่า 3,000 ล้านบาท
ประเทศไทยผลิตข้าวเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ ถือเป็นความได้เปรียบในด้านวัตถุดิบที่ทำให้เกิดธุรกิจเกี่ยวข้องในการแปรรูปข้าวเจ้าเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว เส้นหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น นับว่าเป็นหนึ่งในสินค้าไทยที่มีมูลค่าการส่งออกสูงมาก
และหากดูเฉพาะในตลาดอาเซียนพบว่าผลิตภัณฑ์จากข้าวของไทยมีมูลค่าเป็นอันดับ 1 ประมาณ 57 ล้านดอลลาร์มีอัตราการขยายตัวกว่า 10% และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในอนาคตด้วย อย่างไรก็ดีถ้าพูดถึงธุรกิจด้านการแปรรูปดังกล่าว www.ThaiSMEsCenter.com นึกถึงแบรนด์ดังอย่าง “ ช้างสามเศียร ” ที่อยู่คู่คนไทยมายาวนานเราเห็นสินค้าแบรนด์นี้กันมาตั้งแต่เด็กและถือเป็นอีกธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
เส้นทางธุรกิจกว่าจะมาเป็น “ช้างสามเศียร”
ภาพจาก https://bit.ly/3mljG1X
ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2473 เริ่มจากคุณชอไค แซ่จึง ผู้ที่มาจากเมืองจีนในสมัยนั้น เป้าหมายคือต้องการมาสร้างอาชีพและธุรกิจในเมืองไทย แต่เส้นทางในการเริ่มต้นไม่ได้ง่ายนัก แต่สิ่งที่แตกต่างคือวิสัยทัศน์ด้วยมองว่าในเมืองไทยข้าวคือพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ และมีจำนวนมาก คงเป็นเรื่องดีถ้าจะนำวัตถุดิบนี้มาแปรรูปเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น
เมื่อแนวคิดและไอเดียเริ่มมา จึงได้เริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง และได้ก่อตั้งธุรกิจเป็นรูปธรรมครั้งแรกคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัดชอเฮง เน้นการนำข้าวมาเพิ่มมูลค่าด้วยการทำเป็นเส้นหมี่ขาว โรงงานแห่งแรกตั้งอยู่ที่เขตปทุมวัน หรือฝั่งพระนครในสมัยนั้น ทำการผลิตเส้นหมี่เพียงอย่างเดียวภายใต้เครื่องหมายการค้า “ตราช้างสามเศียร” และ “ตราเอราวัณ”
ภาพจาก https://bit.ly/3mljG1X
ซึ่งการเลือกใช้ชื่อดังกล่าวนี้เพื่อความเป็นศิริมงคลและเป็นชื่อที่มีความหมายดี เป็นชื่อที่สื่อให้เห็นความเป็นไทยได้อย่างชัดเจนด้วย ในปัจจุบันนี้ โรงงานของบริษัทฯ ดำเนินการอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 75 ไร่ และมีพนักงานและคนงานรวมประมาณ 1,500 คน โดยมีกำลังการผลิตสูงสุดปริมาณ 10,000 ตันต่อเดือน
ช้างสามเศียร เป็นเจ้าของสินค้าอะไรบ้าง?
ภาพจาก www.choheng.com/
หลังจากการก่อตั้งโรงงานในครั้งแรก ธุรกิจก็เติบโตมาเป็นลำดับ ในปี 2502 ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัท โรงเส้นหมี่ชอเฮง จำกัด และย้ายฐานการผลิต ไปที่ อ.สามพราน จ.นครปฐม และยังคงเน้นการผลิตเส้นหมี่เป็นหลัก แต่มองว่าสินค้าควรมีการพัฒนาให้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงเริ่มคิดและพัฒนาสินค้าใหม่ๆ สินค้าตัวที่ 2 ของธุรกิจคือ การผลิตแป้ง ที่มองว่าแป้งข้าวจ้าวนี้จะเป็นวัตถุดิบสำคัญในผลิตภัณฑ์หลายอย่าง ทั้งการทำขนม อาหาร เป็นต้น
นอกจากนี้บริษัท โรงเส้นหมี่ชอเฮง จำกัด ยังเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่ได้มีการนำระบบอบแป้งให้แห้งด้วยลมร้อน มาผลิตแป้งข้าวเจ้า และแป้งข้าวเหนียว ทำให้แป้งออกมามีคุณภาพดีได้มาตรฐานสม่ำเสมอ สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สามารถส่งออกสินค้าไปประเทศอื่น ๆ ได้กว่า 31 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน สินค้าของโรงเส้นหมี่ชอเฮง มีตั้งแต่ แป้งข้าวเจ้า, แป้งข้าวเหนียว, เส้นหมี่, เส้นก๋วยเตี๋ยว, แป้งข้าวสกัดโปรตีน, แป้งข้าวโมดิฟายด์ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ทำจากข้าว ภายใต้แบรนด์ “ตราช้างสามเศียร” และ “ตราเอราวัณ”
ภาพจาก www.facebook.com/ErawanBrand/
และไม่ใช่เพียงแค่นั้นโรงเส้นหมี่ชอเฮง ได้มีการนำแป้งมาแตกไลน์ไปทำธุรกิจอื่น ๆ อีกด้วย เช่น บริษัท เอราวัณ ฟามาซูติคอล รีเซิช แอนด์ ลาบอราตอรี่ จำกัด ที่ทำธุรกิจ นำแป้งข้าวเจ้าดัดแปรเพื่อใช้เป็นสารเพิ่มปริมาณยาเม็ด รวมถึง บริษัท เนอเชอร์แคร์ จำกัด ที่ทำแป้งเด็กจากแป้งข้าวเจ้า
ภายใต้แบรนด์ ReisCare โดยสร้างมูลค่าเพิ่มจากแป้งข้าวเจ้า ราคา 30 บาทต่อกิโลกรัม สู่แป้งไฮโดรโฟบิก ราคา 1,200 บาทต่อกิโลกรัมด้วยการต่อยอดแป้ง ReisCare ให้สามารถช่วยดูดซับความมันและกลิ่นได้
รายได้ของ “ช้างสามเศียร” สูงกว่า 3,000 ล้านบาท
ภาพจาก www.choheng.com/
ช้างสามเศียรถือเป็นแบรนด์สินค้าที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 92 ปี สินค้าหลายอย่างเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ทุกครัวเมืองไทยต้องมี รวมถึงผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมอื่นอีกจำนวนมาก และด้วยกลยุทธ์ด้านการตลาดที่ชัดเจน การพัฒนาเทคโนโลยีต่อเนื่อง ทำให้ช้างสามเศียร มีรายได้ในปี 2563 กว่า 3,717 ล้านบาท กำไร 187 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ มาจากในประเทศไทยประมาณ 50% และต่างประเทศอีก 50%
และถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจจะเจอปัญาด้านการแพร่ระบาดโควิด 19 แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากนักหากมองในด้านการส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว จะพบว่า ในปี 2563 การส่งออกผลิตภัณฑ์จากข้าวของประเทศไทย ขยายตัว 4.0% และหากมาดูรายสินค้า พบว่า แป้งข้าวเหนียว ขยายตัว 13.8% ในขณะที่เส้นหมี่ก๋วยเตี๋ยว ขยายตัว 7.2% ซึ่งสินค้า 2 ชนิดนี้ ก็เป็นหนึ่งในสินค้าหลักของ โรงเส้นหมี่ชอเฮงด้วย
จุดเริ่มต้นของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ต้องเริ่มจากก้าวแรกอย่างถูกต้อง การวางรากฐานธุรกิจให้แข็งแรงแล้วค่อยๆเติบโตถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นอกจากนี้การปรับเปลี่ยนตัวเองให้ตามยุคสมัย พัฒนาสินค้าให้ทันต่อความต้องการลูกค้า การพัฒนาเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับสมัยใหม่ และการบริหารจัดการในองค์กรล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่คนทำธุรกิจควรศึกษาและพัฒนาสิ่งเหล่านี้ให้ดีที่สุด
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/335phDi
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/3Nfq3jk , https://bit.ly/3x8rnP4 , https://bit.ly/3NM9E5E
อ้างอิงจาก https://bit.ly/3zFzLHR