จากร้านชำเล็กๆ สู่ “ธุรกิจยาหม่องถ้วยทอง” กำไรกว่า 100 ล้านบาท
ตลาดยาหม่องมูลค่ารวมมากกว่า 2,000 ล้านบาท แต่เชื่อหรือไม่ว่า “ธุรกิจยาหม่องถ้วยทอง” มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% แม้ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี แต่ยอดขายก็ไม่ได้ตกอาจจะแค่ทรงๆ หรือยอดขายเท่าเดิม การตลาดของยาหม่องถ้วยทองผลิตนับล้านชิ้น เน้นการขายจำนวนมากทำให้จำหน่ายได้ในราคาถูก
แต่จุดเด่นที่สำคัญยิ่งกว่า www.ThaiSMEsCenter.com มองว่าคือเรื่องของคุณภาพและภาพจำของแบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมานาน รายได้ต่อปีสูงกว่า 300 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ยาหม่องถ้วยทอง สินค้าที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 72 ปี
เริ่มจากยุคแรกซึ่งรุ่นคุณปู่เป็นชาวจีนที่อพยพมาเมืองไทย และได้เปิดร้านขายของชำชื่อว่า “ลี้เปงเฮง” ย่านตลาดพลู ขายสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไป แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดโรคมาลาเรียระบาด คูณปู่จึงทดลองทำยาตัดไข้มาลาเรียโดยเอาสูตรมาจากหมอชาวจีน ซึ่งปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด ทำให้ร้านเริ่มมีชื่อเสียง หลังจากนั้นจึงได้เดินหน้าผลิตยาตัวอื่นขึ้นมา
โดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นยาที่มีสรรพคุณในการบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แมลงกัดต่อย อาการวิงเวียนศีรษะ และคัดจมูกเนื่องจากหวัด เมื่อผลิตออกมาขายก็มีการปรับปรุงสูตรให้เหมาะสม จนกระทั่งได้สูตรที่มั่นใจ จากนั้นในปี พ.ศ. 2493 ได้จดทะเบียน “บริษัท ถ้วยทองโอสถ จำกัด” กับกระทรวงพาณิชย์ และทำการขึ้นทะเบียนยากับสำนักคณะกรรมการอาหารและยา โดยแรกเริ่ม บริษัท ถ้วยทองโอสถ จำกัด ตั้งอยู่ในตึกแถวบริเวณสำเหร่ เพื่อทำการผลิตยาขายให้กับประชาชนทั่วไป
ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 บริษัท ถ้วยทองโอสถ จำกัด ได้ย้ายที่ทำการมาอยู่บนถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตบางกอกใหญ่ และได้ดำเนินการผลิตมาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2542 บริษัทจึงได้ยื่นขอรับการตรวจมาตรฐานการผลิตยาที่ดีจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และได้รับการรับรองในปีนั้น
กระทั่งในปี พ.ศ. 2551 บริษัท ถ้วยทองโอสถ จำกัด ได้ย้ายที่ทำการผลิตยาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อปรับปรุงสถานที่ผลิตให้รองรับมาตรฐานการผลิตยาที่มีความเข้มข้นขึ้นโดยได้ย้ายมาผลิตยา ณ อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และได้รับรองมาตรฐานการผลิตยาที่ดี ตามมาตรฐาน PIC/S ซึ่งเป็นมาตรฐานโลกที่มีประเทศสมาชิกในมาตรฐานนี้ทั่วโลก ทั้งในทวีปยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย แอฟริกา และเอเชีย
กลยุทธ์ด้านการตลาด “เน้นเข้าถึงลูกค้า ในราคาที่เหมาะสม”
ยาหม่องถ้วยทองเน้นการตลาดสินค้าคุณภาพดี ราคาไม่แพง คนเข้าถึงได้ง่าย สินค้าขายได้ตลอดเวลาด้วยราคาที่เหมาะสมรั้งตำแหน่งผู้นำตลาดยาหม่องมายาวนานตั้งแต่ปี 2493 สิ่งที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายส่วนหนึ่งคือราคาจากเคยซื้อยาหม่องขนาดเล็กเปลี่ยนเป็นขนาดใหญ่ หรือแต่ก่อนตลับเล็กราคา 3 บาท หรือ 6 บาทขายดี แต่สังเกตว่าหลังปรับค่าแรงขึ้นมาทำให้แบบขวดขนาด 25 บาทขายได้มากขึ้น รวมถึงขนาด 50 กรัม ราคา 80 บาท เพราะกำลังซื้อดีขึ้นและรู้สึกคุ้มค่ากว่า
และหากย้อนการตลาดไปในยุคแรกๆ ยาหม่องตราถ้วยทอง จะเจาะไปยังกลุ่มคนที่มาดูหนังกลางแปลง เพราะว่าในสมัยนั้น เวลาดูหนังกลางแปลงจะต้องนั่งตามพื้นดินหรือพื้นหญ้า ทำให้มักมีแมลงมากัดต่อยประกอบกับกลยุทธ์สร้างการรับรู้และโปรโมตสินค้า ด้วยสโลแกน “วิงเวียนศีรษะ ทาถู ทาถู เคล็ด ขัดยอก ทาถู ทาถู แมลงสัตว์กัดต่อย ทาถู ทาถู”และ “มิตรคู่เรือน เพื่อนคู่ตัว” ที่ทุกวันนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังจำได้
ซึ่งส่วนผสมของถ้วยทอง ก็มาจากธรรมชาติ ได้แก่ ยูคาลิปตัส, สะระแหน่ และการบูร ปัจจุบัน ยาหม่องตราถ้วยทอง ไม่ได้ทำตลาดเฉพาะภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในกว่า 20 ประเทศทั่วโลกอีกด้วย เช่น กัมพูชา, สาธารณรัฐเช็ก, ฮ่องกง, มาเก๊า, ลาว, พม่า, เนเธอร์แลนด์, เบลเยียม, ลักเซมเบิร์ก, ฟิลิปปินส์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา
พร้อมกันนี้ยังได้แตกไลน์สินค้าใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการเช่น ยาดมตราถ้วยทอง, ยาหม่องตราถ้วยทอง สูตรสมุนไพร, ยาหม่องนํ้าตราถ้วยทอง ,ไมโอครีม ครีมที่บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ เจาะกลุ่มนักกีฬา, คนออกกำลังกาย หรือคิดดี้บาล์ม ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเล็ก ที่ช่วยบรรเทาอาการจากแมลงสัตว์กัดต่อย และอาการคัดจมูกเนื่องจากหวัด เป็นต้น
รายได้ไม่ธรรมดาปีละกว่า 300 ล้าน แถมโตต่อเนื่อง
ภาพจาก https://bit.ly/3PpBwOD
ยาหม่องถ้วยทองไม่ได้ทำการตลาดแค่ภายในประเทศแต่มีการกระจายสินค้าไปยังต่างประเทศ ซึ่งก็ได้การตอบรับที่ดีอย่างมาก รายได้ของบริษัทเติบโตต่อเนื่อง สวนทางกับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด โดยในปี 2563 มีรายได้กว่า 396 ล้านบาท กำไรกว่า 103 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้าอยู่พอสมควร คิดเป็นอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 7% ต่อปี และการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 48% ต่อปี
เหตุผลน่าสนใจต้องยกนิ้วให้กับการบริหารงานที่มีการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีการทำตลาดในต่างประเทศร่วมด้วย แต่ก็มีแผนบริหารจัดการที่ไม่ต้องใช้งบในการลงทุนที่สูงเกินไป แต่ผลตอบรับที่ดีกลับเกินคาด
และอีกเรื่องที่น่าสนใจสำหรับการทำธุรกิจในยุคนี้คือแม้จะเป็นบริษัทรายได้สูง มีอัตราการเติบโตดี แต่บริษัทแทบจะไม่มีหนี้สินใดๆ เลย ตัวเลขชี้ชัดว่าในปี 2563 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 533 ล้านบาทและมีหนี้สินรวมเพียง 44 ล้านบาท ซึ่งหนี้ทั้งหมด ก็เป็นหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย เช่น เจ้าหนี้การค้า เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ถือเป็นสิ่งที่คนทำธุรกิจควรได้ศึกษาถึงแนวทาง ความเป็นมา วิธีการสร้างแบรนด์ และกลยุทธ์ในการบริหารจัดการ ซึ่งยาหม่องถ้วยทองถือเป็นตัวอย่างในการทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้จะเป็นสินค้าที่ดูธรรมดาแต่กลับมีความแข็งแกร่งด้านการตลาดอย่างมาก และเชื่อว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่องมากยิ่งขึ้นด้วย
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/335phDi
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/3LaEOBV , https://bit.ly/3LfB81H , https://bit.ly/3M5e8nv , https://bit.ly/3wbNzaR
อ้างอิงจาก https://bit.ly/3PmY2HU