จริงหรือ? แฟรนไชส์ลงทุนเยอะ โอกาสรวยกว่า แฟรนไชส์ลงทุนน้อย

เชื่อว่าหลายคนคิดอยากจะเปิดร้านขายของกิน ของใช้ ในรูปแบบการซื้อแฟรนไชส์มา แต่ยังสงสัยอยู่ว่าจะมีโอกาสรวยได้มั๊ย เพราะเป็นธุรกิจที่ไปซื้อเขามา และถ้าซื้อแฟรนไชส์มาจริงๆ จะเลือกแบบไหนถึงมีโอกาสรวยมากกว่ากัน ระหว่าง แฟรนไชส์ลงทุนเยอะ กับ แฟรนไชส์ลงทุนน้อย มาวิเคราะห์พร้อมๆ กัน

แฟรนไชส์ลงทุนสูง

แฟรนไชส์ลงทุนน้อย

แฟรนไชส์ลงทุนสูงเป็นรูปแบบของการขาย “ระบบ” เป็น Business Format Franchise ขายความสำเร็จ หรือ Know-how ของธุรกิจ มีระบบสนับสนุนต่างๆ ให้แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ตลอดอายุสัญญาแฟรนไชส์ พร้อมจัดทำคู่มือปฏิบัติงานให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ทำตามอย่างเคร่งครัด แฟรนไชส์ลงทุนสูงสวนใหญ่จะใช้เงินลงทุนหลักล้านบาทขึ้นไป ระยะเวลาคืนทุนส่วนใหญ่ 2-5 ปี แล้วแต่ยอดขายและรายได้

ยกตัวอย่างแฟรนไชส์ลงทุนสูงที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงในไทย ได้แก่ เชสเตอร์ , คาเฟ่ อเมซอน, อินทนิล, กาแฟพันธุ์ไทย, 7-Eleven, Tops daily ฯลฯ โดยแฟรนไชส์เหล่านี้จะใช้เงินลงทุนออกแบบก่อสร้างร้านและวางระบบหลักล้านบาทขึ้น ไม่รวมค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ (Franchise Fee)

มาดูค่าใช้จ่ายในการลงทุนแฟรนไชส์ รวมถึงรายได้และกำไรของแฟรนไชส์ลงทุนสูง จะขอยกตัวอย่างแฟรนไชส์ 7-Eleven ซึ่งมีรูปแบบการลงทุน 2 โมเดล คือ

แฟรนไชส์ลงทุนน้อย

รูปแบบที่ 1
  • เงินลงทุน 4.8 แสนบาท
  • เงินประกัน 1 ล้านบาท
  • รวมแล้วต้องมีเงินให้กับทาง 7-Eleven ประมาณ 1.48 ล้านบาท อายุสัญญา 6 ปี

ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะเข้าไปเป็นผู้จัดการร้าน มีเงินเดือน 29,000 บาท ต้องบริหารค่าใช้จ่ายให้ได้ตามงบ ย้ำว่าค่าใช้จ่ายนะครับไม่ใช่ยอดขาย ค่าใช้จ่ายก็มี ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์หลัก

ถ้าบริหารแล้วได้ตามเป้างบค่าใช้จ่าย จะมีปันผลแบ่งยอดกำไรจากการขายให้ 20-30% ในส่วนที่มียอดขายเกินเป้า

แฟรนไชส์ลงทุนน้อย

รูปแบบที่ 2
  • เงินลงทุน 1.73 ล้านบาท
  • เงินประกัน 9 แสนบาท
  • รวมแล้วต้องมีเงินให้กับทาง 7-Eleven 2.63 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี

ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้ส่วนแบ่งจากกำไร 54% (ยังไม่ได้หักค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างพนักงาน และอื่นๆ ในร้าน)

แฟรนไชส์ลงทุนน้อย

รายได้ของ 7-Eleven แต่ละสาขาเป็นเท่าไหร่

  • 7-Eleven มีจำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 916 คน
  • ยอดซื้อต่อบิล 84 บาท
  • ยอดขายเฉลี่ย 76,582 บาทต่อสาขาต่อวัน
  • หากคิดเป็นรายเดือนจะอยู่ที่ 2,297,460 บาท
  • กำไรของธุรกิจค้าปลีกประมาณการคร่าวๆ อยู่ที่ 15%

เมื่อนำยอดขายมาหัก 15% ออกก็จะเหลือรายได้ 344,619 บาท/เดือน/สาขา (ยังไม่หักค่าจ้างพนักงาน และค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ)

ค่าใช้จ่ายในร้านมีอะไรบ้าง

  • ค่าจ้างพนักงาน 6 คน 72,000 บาท/เดือน
  • ค่าน้ำ+ค่าไฟ 50,000 บาท/เดือน
  • สินค้าหมดอายุ+อุปกรณ์ต่างๆ ชำรุด 20,000 บาท/เดือน
  • รวมค่าใช้จ่ายในร้านเฉลี่ย 142,000 บาท/เดือน
  • มาดูรายได้กัน 344,619 – 142,000 = 202,619 บาท
  • นำมาหักส่วนแบ่งที่เราจะมีรายได้ 54% = 109,414 บาท/เดือน
  • แต่อย่าลืมหักค่าแรงตัวเองด้วย ถ้าคิดค่าแรง 50,000 ก็จะเหลือกำไร 109,414 – 50,000 = 59,414 บาท/เดือน

ในส่วนของ ค่าเช่าตึก + ค่าเช่าที่ดิน ซึ่งบางสาขาเราจะเห็นเป็นลานจอดรถกว้างมาก ทางซีพีออลล์จะเป็นผู้รับชอบค่าใช้จ่ายในส่วนตรงนี้ทั้งหมด รวมถึงรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ขายของ ค่าติดตั้งตู้ ATM และอื่นๆ ก็จะเป็นของซีพีออลล์


แฟรนไชส์ลงทุนต่ำ

แฟรนไชส์ลงทุนน้อยส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะ Product Franchise หรือคนไทยรู้จักกันดีในนาม “แฟรนไชส์สร้างอาชีพ” จ่ายเงินค่าแฟรนไชส์+งบลงทุนครั้งเดียวจบ ได้รับอุปกรณ์และวัตถุดิบพร้อมเปิดร้านขายได้ทันที แต่ระหว่างการดำเนินธุรกิจจะต้องซื้อวัตถุดิบบางส่วนจากเจ้าของแฟรนไชส์ เพื่อคุณภาพมาตรฐานเหมือนกันทุกสาขา

ตัวอย่างแฟรนไชส์ลงทุนน้อย ได้แก่ ร้านชานมไข่มุกต่างๆ ที่เป็นเคาน์เตอร์, ไจแอ้นลูกชิ้นปลาระเบิด , ไก่ย่างห้าดาว , ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว ฯลฯ โดยแฟรนไชส์เหล่านี้จะใช้เงินลงทุนตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสนต้นๆ ระยะเวลาคืนทุนจะเร็วกว่าแฟรนไชส์ลงทุนสูง แต่เรื่องการซัพพอร์ตจากแฟรนไชส์ซอร์จะดีไม่เท่าแฟรนไชส์ลงทุนสูง

แฟรนไชส์ลงทุนน้อย

ยกตัวอย่าง การลงทุนแฟรนไส์ “ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว” โมเดล ร้านไฮคลาส โมเดิร์น

  • อุปกรณ์ขายครบชุด 72 รายการ 99,165 บาท
  • อุปกรณ์การขายพื้นฐาน 23 รายการ 71,272 บาท

ซื้อแฟรนไชส์ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว 1 สาขา จะคืนทุนได้เมื่อไหร่?

สมมติลงทุนโมเดล “ร้านไฮคลาส โมเดิร์น” อุปกรณ์ขายครบชุด 72 รายการ 99,165 บาท กรณีเปิดร้านขายเอง มีลูกจ้าง 2 คน

ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่อวัน

  • ค่าวัตถุดิบในแต่ละวัน เช่น ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง เครื่องปรุง เครื่องหมักหมูแดง ประมาณ 500 บาท
  • ค่าบะหมี่ไข่ 8 กิโลประมาณ 600 บาท
  • ค่าเนื้อหมู ประมาณ 800 บาท (โลละ 200 บาท)
  • ค่ากระดูกหมู แผ่นเกี๊ยว ประมาณ 100 บาท
  • อื่นๆ ประมาณ 100 บาท
  • รวมต้นทุนคร่าวๆ 2,100 บาท + ค่าจ้างลูกน้อง 2 คน (300 บาท/คน) = 2,700 บาท

สมมติถ้าวันหนึ่งขายหมดจะมีรายได้ราวๆ 4,500-5,000 บาท แต่ต้องขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง ถ้าคำนวณเอารายได้ 4,500 บาท – ต้นทุน 2,700 บาท = 1,800 บาท

นั่นก็เท่ากับว่า เราจะมีกำไรต่อวัน เมื่อหักค่าใช้จ่ายประมาณ 1,800 บาท ถ้าหักค่าแรงของตัวเองไปด้วย 1,000 บาท ก็จะเหลือ 800 บาท หากคิดเป็นรายได้เดือนก็ตกประมาณ 24,000 บาท / สาขา ถ้าลงทุนแฟรนไชส์ 99,165 บาท จะคืนทุนได้ประมาณ 4-5 เดือน

สรุปก็คือ การซื้อแฟรนไชส์ลงทุนสูง กับ แฟรนไชส์ลงทุนต่ำ ใครจะรวยกว่ากันนั้น ต้องขึ้นอยู่กับธุรกิจ สินค้าและบริการ รวมถึงทำเลที่ตั้งในการเปิดร้าน ถ้าเปิด 7-Eleven ในย่านคนอาศัยน้อย รายได้ก็จะน้อยตามหรือเปิดร้านติดๆ กันก็มีรายได้น้อยลงเพราะแย่งลูกค้ากันเอง ส่วนชายสี่บะหมี่เกี๊ยว ถ้าเปิดในทำเลดีๆ รสชาติอร่อยตามมาตรฐาน ก็มีโอกาสรวยได้เหมือนกัน

เลือกแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ แบรนด์ที่มีคนรู้จัก มีเครดิตไม่มีประวัติเสีย สะดวก อร่อย สะอาด สมราคา ทำเลดี ยังไงก็ขายได้ครับ

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช