Multi-Lifestyle เทรนด์จัดเวลาชีวิต ปี 2025

เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มต้นปีใหม่ เราก็มักจะคาดหวังว่าในปีนี้เราจะได้เจอสิ่งที่ดี อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีกว่าเดิม มีการตั้งเป้าหมายว่าจะต้องทำสิ่งใดให้สำเร็จสักอย่าง

แต่หลายครั้งก็ไม่ต่างจากไฟไหม้ฟาง ความคิดที่ฮึกเฮิมก็ดับวูบในเวลาไม่นาน เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราไม่หนักแน่นไม่มีความพยายาม รวมถึงการที่เราไม่รู้จักวิธี “จัดเวลาชีวิต” ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

Multi-Lifestyle
ภาพจาก https://www.freepik.com

พูดถึงคำว่า “จัดเวลาชีวิต” ไม่ว่าจะเป็น Gen ไหน ก็ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองให้มีความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว แต่กลับพบว่ามันยากเกินจะทำได้ สุดท้ายเราก็มักจะพบว่าชีวิตยังค้างอยู่ที่จุดเดิม และถ้าพูดถึงการจัดเวลาชีวิตแบบดั้งเดิมก็เริ่มจาก

  • จัดตารางวันและเวลาในแต่ละวันให้เหมาะสม
  • เรียงลำดับสิ่งที่ต้องทำตามความสำคัญ
  • แบ่งเวลาในเรื่องของงานและเรื่องส่วนตัวให้ชัดเจน
  • จัดการงานที่ยากให้เสร็จก่อน
  • หาเวลาสำหรับการพักผ่อน

อย่างไรก็ดีวิธีจัดการเวลาชีวิตแบบเดิมๆ นี้ เอาจริงๆ คือไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร ถ้าจะให้ได้ผลดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เทรนด์การจัดเวลาชีวิตในปี 2025 นี้ควรเลือกใช้วิธีแบบ “Multi-Lifestyle” ที่สอดคล้องกับยุคสมัยได้มากกว่า และวิธีแบบ Multi-Lifestyle ไม่ใช่แค่เรื่องของกระแสแต่เป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ที่เน้นบาลานซ์ระหว่างการทำงาน ความสุข และการพัฒนาตัวเองแบบครอบคลุมหลากหลายด้าน

การใช้ชีวิตในรูปแบบนี้เปิดโอกาสให้เราทำหลายสิ่งพร้อมกัน ตั้งแต่การทำงานจากที่บ้าน สร้างรายได้เสริมจากโปรเจกต์ส่วนตัว ไปจนถึงการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ทั้งความฝันและความเป็นจริง โดยมีรูปแบบดังนี้

Multi-Lifestyle
ภาพจาก https://www.freepik.com

1.การใช้ปฏิทินแบบดิจิทัล ถือเป็นเคล็ดลับสำคัญของ Multi-Lifestyle เพื่อวางวางเป้าหมายรายเดือน และแยกโซนของชีวิตออกมาให้ชัดเจน ซึ่งการใช้ปฏิทินแบบดิจิทัลจะมีการแจ้งเตือนความจำให้เราปฏิบัติตามในสิ่งที่วางแผนไว้ได้

2.ใช้เทคนิค Time Blocking คือการจัดสรรเวลาการทำงานและกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน โดยรวมกิจกรรมที่คล้ายกันหรือมีแนวทางการทำใกล้เคียงกันไว้เป็นสัดส่วน เพื่อทำให้สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน หรือโยกย้ายไปทำงานอื่นโดยไม่จำเป็น

ภาพจาก https://trello.com

3.การใช้แอปพลิเคชันด้าน Project Management เพื่อจัดการกับงานและกำหนดเวลาให้ชัดเจน การวางแผนล่วงหน้าจะช่วยลดความกังวลและทำให้รู้สึกควบคุมเวลาได้ดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีหลายแอปพลิเคชันเช่น Trello, Asana หรือ Microsoft Project ช่วยให้สามารถแบ่งโครงการออกเป็นงานย่อย ๆ กำหนดวันที่ต้องเสร็จได้ด้วย

4.ใช้เทคนิค Eisenhower Matrix เพื่อแยกแยะงานตามความสำคัญและความเร่งด่วน แล้วจัดการตามลำดับ

ภาพจาก https://www.freepik.com

5.ใช้เทคนิค Pomodoro คือวิธีการทำงาน 25 นาที พัก 5 นาที หรือกำหนดช่วงพักสั้น ๆ ระหว่างวัน นอกจากนี้อย่าลืมจัดสรรเวลาสำหรับการพักผ่อนระยะยาว เช่น วันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันลาพักร้อน เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่

6.นำ To-do List มาใช้ ที่แม้ว่าเป็นเครื่องมือพื้นฐานแต่ทรงพลังมาก To-do List ช่วยให้เห็นภาพรวมของงานทั้งหมดที่ต้องทำ ช่วยจัดลำดับความสำคัญ และทำให้รู้สึกมีความคืบหน้าเมื่อได้ขีดฆ่างานที่เสร็จแล้ว

ภาพจาก https://www.freepik.com

ทั้งนี้ไม่ว่าจะจัดเวลาชีวิตแบบไหนสิ่งที่ต้องไม่ลืมคือการตั้งเป้าหมายที่ชัด ซึ่งเป้าหมายที่ดีควรมีลักษณะ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound) คือ เฉพาะเจาะจง วัดผลได้ ทำได้จริง สอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่ และมีกำหนดเวลาชัดเจน การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้รู้ว่าควรทุ่มเทเวลาและทรัพยากรไปกับอะไร และช่วยในการตัดสินใจเมื่อต้องเลือกระหว่างงานต่าง ๆ

นอกจากนี้การจับเวลาในการทำสิ่งต่าง ๆ จะช่วยให้เข้าใจว่าใช้เวลาไปกับอะไรบ้างในแต่ละวันก็เป็นสิ่งที่นำมาใช้ควบคู่กับการบริหารเวลาชีวิตได้ มีหลายแอปพลิเคชันที่น่าใช้ เช่น RescueTime, Toggl หรือ Clockify ซึ่งจะบันทึกเวลาที่เราใช้กับแต่ละงาน อีกทั้งยังช่วยให้รู้ได้ว่าเราใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพได้มากแค่ไหน

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด