7 เทคนิคสร้างธุรกิจให้ติดปีก วิธีเติบโตแบบก้าวกระโดด
หลายคนมีความตั้งใจที่ อยากทำธุรกิจ ของตัวเองหลายคนตั้งเป้าอยากเป็นเถ้าแก่น้อยที่ประสบความสำเร็จแต่ในความเป็นจริงการทำธุรกิจมีทั้งศาสตร์และศิลป์ที่สำคัญ ไม่ใช่ทุกคนที่คิดจะทำแล้วจะประสบความสำเร็จได้ทั้งหมด
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้จะยากจนเกินเอื้อมนักตัวอย่างความสำเร็จของธุรกิจ SMEs ที่ www.ThaiSMEsCenter.com นำเสนอให้ดูเป็นแนวทางคือบริษัท เวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี จำกัด ที่เริ่มต้นจากกิจการเล็กๆด้วยเงินลงทุนเพียงแค่หลักหมื่นกับคนทำงานแค่ 2-3 คน
ปัจจุบันกลับกลายเป็นกิจการทองม้วนที่มีแบรนด์วางวางขายอยู่ในคิงห์เพาเวอร์ เสิร์ฟบนการบินไทย ขายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และส่งออกไปในกว่า 10 ประเทศทั่วโลก มียอดขายที่ผ่านมารวมกว่า 160 ล้านบาท
ทั้งยังเป็น SME เนื้อหอม ที่ล่าสุดเพิ่งได้รับการร่วมลงทุน VC (Venture Capital) จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) วงเงิน 30 ล้านบาทเพื่อมาต่อยอดการทำกิจการให้เติบโตอย่างยิ่งใหญ่และต่อไปนี้คือเทคนิคน่าสนใจที่คนทำ SMEs ควรเรียนรู้ไว้เพื่อจะได้ก้าวต่อไปจะได้ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน
1. R&D คือหัวใจของ SMEs
เวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี นั้นเริ่มต้นมาจากสินค้าพื้นๆอย่างทองม้วน ปัจจุบันก็ยังคงมีทองม้วนเป็นสินค้าหลัก แต่สิ่งที่เหนือว่าคือทองม้วนของ เวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี นั้นมีสารพัดรูปแบบ สารพัดรสชาติ รวมถึงแพคเกจจิ้งก็ยังแตกต่างกัน เพื่อรองรับการตลาดที่หลากหลายมากขึ้น
นั้นคือการให้ความสำคัญกับการทำ R&D อยู่ตลอดเวลา เป็นการไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ละปี เวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี ออกสินค้ารสชาติใหมไม่ต่ำกว่าปีละ 10-20 ตัวและปัจจุบันก็มีสินค้าอยู่กว่า 100 SKU และยังแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาอย่างต่อเนื่องด้วย
2.ความคิดเห็นของลูกค้าคือสิ่งล้ำค่าที่สุด
ถ้า R&D คือการทำให้เราก้าวตามยุคสมัยได้ทันแต่สิ่งสำคัญกว่าคือการที่เราได้รับรู้ความต้องการของลูกค้าและนำสิ่งที่ลูกค้าต้องการมาแก้ไขปรับปรุงให้ตรงกับความต้องการคือสิ่งที่ล้ำค่ามาก
โดยสินค้าเช่นทองม้วนที่สะท้อนจากลูกค้าคือแตกหักง่าย เวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี ก็พัฒนาให้เป็นทองม้วนแบบพับ ตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆพอคำ เพื่อสะดวกในการทานบนเครื่องบิน พัฒนาอายุสินค้าให้ยาวขึ้น
เพื่อให้สามารถส่งออกได้ ปรับสูตรลดเพิ่มความหวานให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าแต่ละประเทศ การสร้างสรรค์รสชาติใหม่ๆ แม้แต่นำวัตถุดิบที่ขึ้นชื่อของบ้านเรา อย่างผลไม้ไทยมาสร้างความน่าสนใจให้ขนมทองม้วนก็ล้วนเป็นผลิตผลที่เกิดจากความต้องการของลูกค้าทั้งสิ้น
3.คู่แข่งยิ่งมาก็ยิ่งต้องปรับตัวสู้
ธุรกิจที่ไม่มีคู่แข่งคือธุรกิจที่ไม่มีวันเติบโต แต่การมีคู่แข่งสิ่งสำคัญก็คือจะทำอย่างไรที่เราจะใช้ประโยชน์จากคู่แข่งเพื่อทำให้เราเหนือกว่าได้ งานที่ เวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี ทำคือให้ความสำคัญกับลูกค้าและสินค้ามากกว่าจะแข่งกันในเรื่องราคา
โดยเน้นการให้มีวอลุ่มสูงๆเพื่อควบคุมต้นทุนให้ดีกว่าคู่แข่ง เช่น การรับซื้อผลไม้จำนวนมากเพื่อมาทำเป็นวัตถุดิบในขนมทองม้วน เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ถูกลงรวมถึงการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบให้เต็มที่ด้วยการพัฒนาสู่
“ผลไม้อบแห้ง”(Freeze Dry) รวมถึงการพัฒนามาทำวัตถุดิบเองเพื่อลดต้นทุน เช่น ช็อกโกแลต ซึ่งผลไม้ส่วนหนึ่งถูกนำมาผสมกับช็อกโกแลตเพื่อสร้างรสชาติใหม่ๆ กลายเป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในโรงงานของเวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี
4.รู้จักการแตกไลน์ไปสู่ธุรกิจอื่น
เมื่อแบรนด์แรกเริ่มแข็งแกร่งการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจควรคิดต่อยอดสินค้าไปสู่ไลน์อื่นมากขึ้นเพื่อให้เป็นธุรกิจที่หลากหลาย โดยการที่ เวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี ต้องรับซื้อผลไม้จำนวนมากก็ทำให้ต้องมีห้องเย็น แถมยังมีวัตถุดิบบางอย่างที่ทำเองได้ จึงแตกไลน์ธุรกิจจากทองม้วนไปสู่ “ไอศกรีมผลไม้”
และมีการตั้งหน้าร้านจำหน่ายเป็นแนวคาเฟ่ขนหวานชื่อ “EK” (Elephant King) ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปในงาน THAIFEX 2017 ที่ผ่านมา โดยจะเปิดขายแฟรนไชส์ไซส์ให้ผู้ลงทุนที่สนใจมาร่วมธุรกิจกับพวกเขา ในเม็ดเงินลงทุนตั้งแต่ 1.5- ไม่เกิน 5 ล้านบาท ด้วย
5.ธุรกิจSMEs ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้
การจะก้าวมาเป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งได้ สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักยืนหยัดด้วยขาของตัวเอง ในทางธุรกิจย่อมหมายถึงการไม่ไปอิงกับตลาดใดตลาดหนึ่งมากจนเกินไป เช่นไม่อิงกับตลาดท่องเที่ยว เพราะเมื่อท่องเที่ยวไม่ดีธุรกิจก็จะแย่ไปด้วย หรือไม่อิงกับตลาดประเทศใดประเทศหนึ่ง เพราะถ้าประเทศนั้นไม่ดีธุรกิจก็สั่นคลอนตาม
นั่นคือเหตุผลที่การทำตลาดจะกระจายความเสี่ยงไปในหลายประเทศ โดยปัจจุบันเวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี ทำตลาดทั้งในโซนอเมริกา เกาหลี จีน เวียดนาม ลาว กัมพูชา ฯลฯ และแม้แต่ประเทศไทยเอง เพื่อที่เมื่อประเทศใดประสบปัญหา ก็จะยังมั่นใจได้ว่าไม่กระทบกับธุรกิจที่มีทั้งหมด
6.เน้นบริหารวัตถุดิบแบบส่งเสริมเกษตรกร
เราจะเห็นว่าธุรกิจขนาดใหญ่บางอย่างที่บริหารจัดการวัตถุดิบตัวเองด้วยการลงทุนผลิตขึ้นมาเอง ด้วยการสร้างฟาร์มขึ้นมาผลิตวัตถุดิบป้อนเข้าโรงงานอย่างเดียว แต่ เวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี
ให้ความสำคัญกับเกษตรกรโดยมุ่งที่การรับซื้อผลผลิตจากชุมชน เช่น มะพร้าวที่ใช้มากกว่า 5,000 ลูกต่อวัน ใช้ปริมาณเนื้อมะพร้าวประมาณ 2 ตันต่อวัน การที่เกษตรกรเป็นผู้ผลิตและป้อนเข้าโรงงานก็เป็นการกระจายรายได้ให้กับสังคมอีกทางหนึ่งด้วย
7.การทำธุรกิจต้องคิดจากลูกค้า
คำกล่าวนี้ของ เวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี สอนให้คนทำธุรกิจเข้าใจว่า การทำธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จต้องมีหัวคิดจากลูกค้าไม่ใช่คิดจากความรู้สึกของตัวเอง เป็นการมองสวนทางกับหลักตลาดที่บอกว่าต้องผลิตสินค้าและหาที่วางขาย
แต่หลักการของ เวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี คือทำสินค้าตามที่ลูกค้าต้องการนั้นหมายถึงการมีตลาดรองรับชัดเจน จากวันที่ เวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี เริ่มต้นธุรกิจทองม้วนแบบครอบครัวนั้นมีรายได้ต่อปีแค่หลักแสนบาท
แต่ในปีต่อมาสามารถพัฒนาตัวเองจนสามารถส่งออกได้ หลังจากนั้นธุรกิจโตคูณสองทุกปี จนปัจจุบันมียอดขายอยู่ประมาณ 20 ล้านบาทต่อเดือน มีพนักงานเพิ่มจาก 2-3 คน เป็นกว่า 200 คน มีโรงงานที่ลงทุนไปกว่า 100 ล้านบาท และคาดการณ์รายได้ในอีก 5 ปี ข้างหน้า ว่าจะไปแตะที่ 300-500 ล้านบาทได้เลยทีเดียว
แนวทางของ เวอร์จิ้น เอฟ แอนด์ บี อาจเป็นกรณีศึกษาให้ผู้ที่คิดจะลงทุนได้มีกรณีศึกษาจากธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแต่ก็ใช่ว่าเราจะลอกเลียนแบบการทำที่ประสบความสำเร็จนี้ได้ทั้งหมด หากแต่อยู่ที่การรู้จักประยุกต์เอาวิธีการมาใช้ให้เหมาะสมกับการลงทุนของตัวเอง
การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไม่มีหลักสูตรไหนที่ดีที่สุด ไม่มีหลักสูตรไหนที่การันตีผลสำเร็จได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ วิธีที่ดีที่สุดคือวิธีที่เราทำแล้วธุรกิจเราเห็นผลซึ่งอาจจะแปลกและแตกต่างไปจากธุรกิจอื่นก็เป็นได้
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S