5 เทคนิค ขายของแพง แต่ลูกค้าแย่งกันซื้อ
คำว่า “ถูกหรือแพง” ในความรู้สึกของลูกค้าอาจไม่เหมือนกัน สินค้าแบบเดียวกันราคาเดียวกัน คนหนึ่งบอกแพง แต่อีกคนบอกว่าถูก ดังนั้นราคาสินค้าจึงขึ้นอยู่กับความคาดหวังในใจของลูกค้า
โดยลูกค้าส่วนใหญ่มักจะมีราคา “อ้างอิง” อยู่ในใจไปประกอบการตัดสินใจว่าสินค้าชิ้นนี้สมควรจะซื้อหรือไม่ แต่กลยุทธ์การตลาดทีเราเห็นส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ค้ามักใช้วิธีการลดราคา ซึ่งก็ถือว่าได้ผลแต่สิ่งที่ตามมาคือกำไรของเราเองที่จะน้อยลงเช่นกัน
อย่างไรก็ดี www.ThaiSMEsCenter.com เชื่อว่ายังมีเทคนิคการขายสินค้าราคาสูงที่จะทำให้ลูกค้าแย่งกันซื้อได้ และน่าจะเป็นผลดีต่อการทำการค้าขายอยู่ไม่น้อยลองมาเรียนรู้เทคนิคเหล่านี้ไปพร้อมๆกันดีกว่า
1.ชู “จุดเด่นสินค้า” ที่ทำให้รู้สึกคุ้มค่า
การขายสินค้าราคาแพง ลูกค้าย่อมหวังในสิ่งที่จะได้รับสูงเช่นกัน ดังนั้นสินค้าใดๆ ก็ตามที่เรามีอยู่หากจะขายได้ในราคาแพงต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป” เช่นประสิทธิภาพดีกว่า , แก้ไขปัญหาได้มากกว่า , มีบริการหลังการขายที่ดีกว่า เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เพื่อบ่งบอกถึง “เหตุผลของความแพง” ให้ลูกค้าฟังแล้วรู้สึกคล้อยตาม หรือการขายสินค้าที่เป็นการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ชัดเจน ซึ่งหากลูกค้าไปซื้อสินค้าจากที่อื่นอาจแก้ปัญหาที่เจออยู่ไม่ได้ ตรงนี้ถ้าสินค้าใด จับจุดความต้องการลูกค้าได้โอกาสที่จะขายสินค้าในราคาสูงก็เป็นไปได้มาก เพราะตามหลักจิตวิทยาถ้าคนเรารู้สึกถูกใจ มั่นใจ และเชื่อใจ เกิดความรู้สึกอยากได้สินค้านั้นๆ ต่อให้มีราคาแพงแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา
2.กำหนดราคาสินค้าเฉลี่ยรายวัน
สินค้าบางอย่างมีมูลค่ารวมสูงมากๆ จนทำให้ลูกค้ารู้สึกไปว่าแพง แต่ถ้าเราเลือกที่จะเสนอราคาให้ลูกค้าเฉลี่ยเป็นต่อวัน หรือต่อเดือนจะทำให้สินค้าดูมีราคาถูกลงไปมาก วิธีแบบนี้พบมากในบริษัทประกัน จะเห็นได้ว่าบริษัทประกันส่วนใหญ่ มักโฆษณาว่าทำประกันวันนี้ คิดแล้วเสียเงินเพียงวันละ 20 บาทเท่านั้น
ดูๆ ไปแล้วลูกค้าก็จะรู้สึกว่าแค่วันละ 20 บาท ถือเป็นราคาที่ถูกมาก แต่พอมารวมตัวเลขจริงแล้ว ต้องจ่ายถึงปีละ 7,300 บาท นอกจากการขายประกันแล้ว นี้วิธีนี้ยังเป็นที่นิยมมากในธุรกิจบริการอื่นๆ เช่น สมัครสมาชิกฟิตเนส, ค่าบริการโทรศัพท์มือถือ, การจ่ายค่าเช่า เป็นต้น
3.ขายสินค้าแบบ Limited
อะไรก็ตามที่เป็นของมีจำนวนจำกัด หรือหายาก ผลิตแล้วก็หมดไป มีแค่ครั้งเดียว หรือน้อยชิ้น จะกลายเป็นของที่เราสามารถขายแพงแบบมีราคาได้ทันที และมีคนแย่งกันซื้อเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันสิ่งเหล่านั้นต้องมาพร้อมความหรูหรา และคุณภาพอย่างแท้จริงด้วย
อย่างเช่น แบรนด์ Supreme ซึ่งขายสินค้าแฟชั่นที่มีราคาสูงมาก เนื่องจากจะผลิตสินค้าขึ้นมาน้อยชิ้น เพื่อให้เกิดมูลค่าทางจิตใจ คนที่ได้ครอบครองจะเกิดประสบการณ์ที่รู้สึกดี และรู้สึกว่าราคานี้คุ้มค่าแล้ว
4.ใช้จำนวนคนที่เคยใช้สินค้ามาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ
เทคนิคนี้เรียกว่า “Social Validation” คือการนำจำนวนคนที่ใช้สินค้าของเรามาโฆษณา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อกลุ่มใหม่มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเราสนใจสินค้าใดๆ และเห็นคนที่เคยใช้สินค้านี้มาบ้างแล้วก็ย่อมทำให้เกิดการตัดสินใจได้ง่ายขึ้นแม้บางทีราคาสินค้าอาจจะสูงกว่าคู่แข่งก็ตาม
5.ใช้ความรู้สึกลูกค้ามาขายสินค้าแบบไม่ต้องลดราคา
ร้านค้าต้องเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร? อะไรที่ลูกค้ายอมจ่ายให้ได้มา? และตัวสินค้าเอง ต้องตอบโจทย์ ต้องแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้ เหมาะกับแต่ละคนได้ยิ่งดี ที่สำคัญอย่าคิดเอาเองว่าลูกค่าอยากได้อะไร มีปัญหาอะไร ให้เราไปถาม ไปหาข้อมูลด้วย ลูกค้าถึงจะเห็นค่าของ สินค้าของเรา และเมื่อลูกค้าเห็นคุณค่าในสินค้าและบริการเรื่องราคาที่อาจจะแพงกว่าคู่แข่งก็ไม่ใช่ประเด็นที่ลูกค้าจะบิดพลิ้วไม่อยากจ่ายอีกต่อไป
กลยุทธ์การตั้งราคาตามคุณค่า (Value Base Pricing) ที่ทำให้ลูกค้าย่อมจ่ายแพงกว่า
- ความสามารถในการแข่งขันและเป้าหมายทางการเงิน เช่น ผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่งที่สามารถกำหนดราคาสูงกว่าได้ หรือมีช่อง ทางการจำหน่ายที่ได้เปรียบกว่า รวมถึงกำไรที่ต้องการ เป็นต้น
- ความต้องการและความคาดหวังของลูกค้า หากลูกค้ามีความต้องการและความคาดหวังสูงก็สามารถที่จะตั้งราคาที่สูงได้ เช่น iPhone หรือ iPad ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ ลูกค้าต้องเข้าคิวจองอยู่หลายเดือนกว่าจะได้ อีกทั้งยังเป็นเสมือนอุปกรณ์ที่บ่งบอกถึงฐานะหรือรสนิยมอีกด้วย
- ต้นทุนของสินค้าหรือบริการทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร หากมีต้นทุนสูงก็จำเป็นที่จะต้องตั้งราคาขายที่สูง เพื่อให้กิจการมีกำไรอยู่ได้
- ราคาของคู่แข่ง โดยเฉพาะคุณค่าของสินค้าคู่แข่งที่ลูกค้ารับรู้
- ความสามารถซื้อของลูกค้าเป้าหมายและสภาพเศรษฐกิจ
ตัวอย่างของธุรกิจหลายแห่งที่สินค้าราคาแพงแค่ไหนคนก็ยังนิยมซื้อแถมไม่เคยบ่นอีกต่างหาก เช่นร้าน Starbucks กาแฟแบบพรีเมี่ยมที่แทบจะไม่เคยลดราคาใด ๆ แต่เพราะความพรีเมี่ยมและบริการที่ดี ใช้ “ราคาเป็นคำสัญญา” ว่าลูกค้าจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดทำให้มีลูกค้าประจำอยู่จำนวนมาก
หรืออีกตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือบรรดาร้านสะดวกซื้อต่างๆ ที่มีจุดขายเน้นความสะดวกของลูกค้าที่ต้องการสินค้าอะไรบางอย่าง ทำให้ร้านสามารถตั้งราคาที่สูงกว่าการเข้าไปซื้อสินค้าจากร้านอื่นๆ แถมลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นขาจรที่ไม่ได้รู้สึกว่าการจ่ายแพงกว่าปกติจะเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/3bRT3fH , https://bit.ly/3mU8Gtv , https://bit.ly/3mRcknQ , https://bit.ly/3wmbjYc , https://bit.ly/3kaN6zd , https://bit.ly/3D9sMWx
อ้างอิงจาก https://bit.ly/3DbRuoT
อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
8 ขั้นตอน การพัฒนาระบบแฟรนไชส์
1. การวางแผนธุรกิจ ก่อนทำแฟรนไชส์
- กำหนดรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ให้มีความชัดเจน โดนใจลูกค้า
- ชื่อกิจการ (Brand)
- การสร้างผลการดำเนินธุรกิจที่ดี ได้ผลกำไร มีความมั่นคง (Good ROI)
- การสร้างแบรนด์ ตราสินค้า ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักผู้บริโภค
- การพัฒนาสินค้าบริการ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน
- การพัฒนาระบบบริการจัดการ จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
- วางโครงสร้างองค์กรใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร ทีมงาน สนับสนุนระบบแฟรนไชส์
- การวางแผน และกำหนดเป้าหมายการขยายธุรกิจ การขยายสาขา ทั้งในและต่างประเทศ
- การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจ ทำเลที่ตั้ง และรูปแบบของร้านค้า
- การเลือกใช้สื่อต่างๆ ช่องทางต่างๆ ในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างแบรนด์แฟรนไชส์
2. การรวบรวมข้อมูลธุรกิจ
- ระบบการปฏิบัติงาน วิธีการบริหารจัดการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
- ระบบการเงิน การบัญชี
- งบประมาณในการลงทุนธุรกิจ การขยายสาขา
- รูปแบบของร้านค้า รูปแบบของตราสินค้า ที่เป็นเอกลักษณ์
- ระบบการสต็อกสินค้า จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
- แผนงานการตลาด การส่งเสริมการขายต่างๆ
- กระบวนการพัฒนาบุคลากร ทีมงานด้านต่างๆ
3. การวิเคราะห์ธุรกิจแฟรนไชส์
- ธุรกิจเปิดมานานหลายปี จำนวนไม่น้อยกว่า 1สาขา
- แบรนด์มีชื่อเสียงได้รับความนิยม เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้าง
- สินค้าและบริการ มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด
- เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มีผลกำไร ต่อเนื่อง เป็นที่น่าพอใจ
- มีระบบการทำงาน การปฏิบัติงาน แผนการทำงานที่ชัดเจน สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นได้
- มีระบบการพัฒนาบุคลากร และสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง เป็นมาตรฐาน
- ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ การส่งเสริมการขายต่างๆ
- แผนกลยุทธ์การขยายสาขา และเติบโตต่อเนื่อง เป็นรายเดือน หรือ รายปี
4. การวางโครงสร้างของระบบแฟรนไชส์
- กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค
- การสร้างองค์ความรู้ ระบบปฏิบัติงานต่างๆ ที่พร้อมถ่ายทอดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- วางระบบการปฏิบัติงานของแต่ละขั้นตอนธุรกิจ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่าย
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย แต่ละแผนกให้ชัดเจน รวมถึงขั้นตอนการอบรม ระบบตรวจสอบ เพื่อสร้างมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์
- สร้างระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซี หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์
- การกำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ ในการขยายสาขาแฟรนไชส์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า (ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์)
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงแก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ช่วงเริ่มต้นได้
- เงื่อนไขการเปิดสาขาในด้านต่างๆ
5. การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจแฟรนไชส์
- แผนการขยายแฟรนไชส์
- ระบบการเงิน
- ค่าธรรมเนียมต่างๆ
- ข้อเสนอแฟรนไชส์ซี
- การจดทะเบียนแฟรนไชส์
- เรื่องกฎหมาย อายุสัญญาแฟรนไชส์
- ระบบปฏิบัติงาน รูปแบบการให้สิทธิ
- การตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์
- แพ็คเกจต่างๆ ระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซีอย่างต่อเนื่อง
- การจัดทำคู่มือแฟรนไชส์ หรือโปรแกรมแฟรนไชส์
- การจัดทำสัญญาแฟรนไชส์ รวมถึงเครื่องหมายการค้า
6. การวางแผนเพื่อขยายสาขาธุรกิจแฟรนไชส์
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ เจ้าของแฟรนไชส์จะบริหารจัดการเองทุกอย่าง เพื่อสร้างความโดดเด่น สร้างความเด่นชัดให้แก่นักลงทุน ได้เห็นภาพของร้านที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนเปิดสาขาแฟรนไชส์ในภายหลัง
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟนไชส์ คือ เมื่อสาขาแรกมีความแข็งแกร่ง มั่นคง มีผลกำไรต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ แล้ว ก็ทดลองขยายสาขาเพิ่มอีก เพื่อทดสอบสาขาที่ 2 เป็นอย่างไร โดยนำเอาระบบการปฏิบัติงานทุกอย่างของร้านสาขาแรกมาปฏิบัติ ถ้าประสบความสำเร็จ ก็ค่อยขยายสาขาตัวเองเพิ่มอีก 2-3 สาขา ถ้าประสบความสำเร็จเหมือนสาขาแรก ก็ค่อยคิดขายแฟรนไชส์ให้กับคนอื่น
7. กระบวนการพัฒนาและปรับปรุงระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ระบบการบริหารจัดการในร้าน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน)วิเคราะห์ระบบการเงิน การลงทุน ในแต่ละสาขาที่เปิดทดลอง
- พิจารณาปรับปรุงระบบงาน ระบบการทำงานต่างๆ ให้เหมาะสม
- ระบบการพัฒนาทีมงานรองรับการขยายงาน ขยายสาขา
- การวางแผนงานขยายสาขาแฟรนไชส์
- เก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ กลุ่มลูกค้า ผลประกอบการ การดำเนินงาน ของสาขาแรก หรือสาขาต้นแบบ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ก่อนเปิดสาขาที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และขายแฟรนไชส์
- จัดวางงบประมาณ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการขยายธุรกิจแฟรนไชส์
8. แผนการตลาดของธุรกิจแฟรนไชส์
- การจัดทำคู่มือต่างๆ เพื่อแนะนำธุรกิจแฟรนไชส์
- กระบวนการขายแฟรนไชส์ การคัดเลือกผู้ซื้อแฟรนไชส์
- กระบวนการติดตามลูกค้าเป้าหมาย
- การนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ในงานแสดงธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- การจัดงาน สัมมนาการขายธุรกิจ แฟรนไชส์
- การเปิดเยี่ยมชมธุรกิจ ร้านต้นแบบแฟรนไชส์
- กระบวนการคัดเลือกแฟรนไชส์ซีที่เหมาะสม ตามหลักมาตรฐานแฟรนไชส์สากล
- กระบวนการถ่ายทอดความรู้ การอบรม และให้คำปรึกษาแก่แฟรนไชส์ซี
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)