5 กลยุทธ์เปิดร้านชานมไข่มุกบุฟเฟ่ต์ ไม่ให้เจ๊ง!
เห็นคนอื่นทำ แล้วขายดีก็อยากทำบ้าง! อีกใจหนึ่งก็เห็นคู่แข่งมากลงทุนไปแล้วกลัวจะเจ๊ง! เป็นอารมณ์ 2 จิต 2 ใจ ไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดีสำหรับการเปิดร้านชาไข่มุก ยิ่งมาตอนนี้มีกระแส ชาไข่มุกแบบบุฟเฟ่ต์ เข้ามาเพิ่มเติมยิ่งทำให้ตัดสินใจยากขึ้นไปอีก
บ้างก็ว่าไม่อยากเสี่ยงก็ซื้อแฟรนไชส์ไปเลย สะดวก จบ ง่าย สบาย! แต่ถ้าคิดมองการณ์ไกลอยากมีแบรนด์ตัวเองบ้าง ก็เลือกลงทุนเอง เริ่มจากน้อยๆไปก่อนค่อยๆเติบโตไปทีละขั้น
www.ThaiSMEsCenter.com เห็นว่าไม่ว่าจะเลือกทางไหนจุดตัดของเรื่องนี้ก็มีอย่างเดียวคือ “ต้องมีกำไร” ลองมาดู 5 แนวทางของการเปิดร้านชาไข่มุก โฟกัสไปที่สไตล์ “บุฟเฟ่ต์” มีวิธีทำแบบไหน อย่างไร “ไม่ให้เจ๊ง” กันบ้าง
ก่อนจะไปดูว่า “เจ๊ง” หรือ “ไม่เจ๊ง” มีวิธีอย่างไรเราต้องมารู้พื้นฐานของการเปิดร้านชาไข่มุกกันก่อนว่าเปิดร้านชาไข่มุก 1 ร้าน ลงทุนอะไรบ้าง เริ่มจาก
ภาพจาก https://goo.gl/NuFtSo , facebook.com/chafebangsaen
1.ตัวร้านค้า
อาจเป็นแบบคีออสธรรมดาหรือเนรมิตหน้าบ้านตัวเองเป็นทำเลขาย อย่างไรก็ตามต้องมีค่าตกแต่งร้าน ป้ายร้าน เมนู เงินทุนส่วนนี้ประมาณ 15,000 เป็นอย่างน้อย
ภาพจาก facebook.com/chafebangsaen
2.อุปกรณ์ที่ใช้
ที่จำเป็นๆต้องมีเช่นเครื่องชง แก้วตวง ช้อนคน แก้วโหลใส่ชา แก้วโหลใส่ไข่มุก ฯลฯ เบ็ดเสร็จอุปกรณ์เหล่านี้มีค่าใช้จ่ายประมาณ 15,000-20,000 บาท แล้วแต่ขนาดร้านและความครบวงจรของร้าน
ภาพจาก facebook.com/chafebangsaen
3.วัตถุดิบ
หากเปิดร้านเป็นแบรนด์ตัวเอง วัตถุดิบทยอยซื้อมาทีละน้อยๆ ก่อนได้ เบื้องต้นก็คือ ชาชนิดต่างๆ ไข่มุก และถ้าเปิดเป็นร้านชาไข่มุกบุฟเฟ่ต์ต้องมีไข่มุกที่หลากหลายในปริมาณที่มากขึ้น โดยราคาไข่มุกตามท้องตลาดอยู่ประมาณ 60-100 บาทแล้วแต่คุณภาพ ประมาณการค่าวัตถุดิบเบื้องต้นประมาณ 5,000 – 10,000 บาท
เบ็ดเสร็จต้นทุนคร่าวๆ ของการเปิดร้านแบบลงทุนเองไม่ซื้อแฟรนไชส์มีงบเบื้องต้นประมาณ 40,000 – 50,000 บาท ได้ร้านชาไข่มุกสวยๆ 1 ร้าน แต่งบประมาณส่วนนี้อาจลดน้อยลงได้ก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนในเบื้องต้นที่หลายคนอาจใช้หน้าร้านแบบธรรมดาๆ
ไม่ตกแต่งอะไรมาก โต๊ะตัวเดียว พร้อมอุปกรณ์ชงง่ายๆ ต้นทุนจะลดลงมาประมาณไม่เกิน 20,000 ก็เปิดร้านได้ แต่ว่าในยุคที่คู่แข่งมีมาก การที่หน้าร้านเราดูไม่น่าสนใจ แพคเกจไม่ดึงดูด ลงทุนน้อยก็จริงแต่ลูกค้าก็อาจจะน้อยตามไปด้วย อาจจะได้ไม่คุ้มเสีย
ลองมาคำนวณดูกำไรว่า “ร้านชาไข่มุก” ยังน่าสนใจแค่ไหน
ภาพจาก https://goo.gl/ow2jxA
โดยเฉลี่ยชานมไข่มุกต่อแก้วต้นทุนประมาณ 12-13 บาท ขายปลีกแก้วละ 30-55 บาท เท่ากับจะมีกำไรมากกว่า 50% จากราคาขาย รายได้ขึ้นอยู่กับกำไรต่อหน่วย คูณด้วยปริมาณที่จำหน่ายได้
ตัวอย่างเช่น ขายชานมไข่มุกแก้วละ 30 บาท เฉลี่ยแล้วกำไรจะอยู่ที่ 12 บาทต่อแก้ว หนึ่งวันขายได้ขั้นต่ำ 40 แก้ว รายได้ทั้งหมดจะอยู่ที่ 1,400 บาท กำไรต่อวันก็จะได้ 480 บาท เป็นต้น
ภาพจาก ภาพจาก facebook.com/chamook19
ในกระแสที่มาแรงคือ “ชาไข่มุกตักเอง” หรือ “ชาไข่มุกบุฟเฟ่ต์” คือแม่เหล็กตัวหนึ่งที่ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาในร้านมากขึ้นอันจะทำให้มีหน่วยการขายมากขึ้น เอามาคูณกับกำไรก็จะได้ตัวเลขมากขึ้น
เพราะการไฮไลท์ว่าเป็นร้านชาไข่มุกสไตล์บุฟเฟ่ต์หรือไข่มุกตักเอง จะเรียกลูกค้าเข้าร้านได้ดีกว่าเดิม แม้จะต้องแลกมากับการลงทุนเรื่อง “ไข่มุก” ที่มากกว่าเดิม แต่หากคำนวณแล้วว่าลูกค้าจะมามากขึ้น ก็ดูจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
5 วิธีเปิดร้านชาไข่มุกบุฟเฟ่ต์ ไม่ให้เจ๊ง
ภาพจาก https://goo.gl/kMwVyT
พูดมาเยอะแยะ แจกแจงรายละเอียดของการเปิดร้านว่าเป็นอย่างไร หากตัดสินใจอยากทำจริงๆ ลองมาดู 5 วิธีที่ทำให้ร้านชาไข่มุกห่างไกลคำว่าขาดทุน
1.แบรนด์สินค้าต้องทำให้ลูกค้าประทับใจ
ภาพจาก www.facebook.com/Phatchateaforyou
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ที่มีโลโก้สวยงาม แพคเกจดีๆ คนถึงนิยม เพราะแบรนด์เหล่านี้มีความน่าสนใจ ลูกค้าเห็นแล้วประทับใจ การลงทุนเปิดร้านแบบง่ายๆ แก้วพลาสติกใสๆ ไร้โลโก้ ชงกันแบบง่ายๆ บางทีอาจจะอร่อยก็จริง แต่ลูกค้าไม่เชื่อมั่น ต่างจากแบรนด์ที่สวยงามซึ่งเตะตามากกว่า และยิ่งสูตรชงเครื่องดื่มดีๆ ด้วยแล้วจะทำให้ลูกค้าติดใจง่ายขึ้น
2.การตลาดต้องเลิศ
ภาพจาก facebook.com/Zakicha88
เมื่อมีคู่แข่งมาก ลูกค้าสามารถตัดสินใจเลือกร้านค้าที่ตัวเองชอบได้ โจทย์สำคัญคือทำอย่างไรให้ลูกค้าอยากเข้ามาใช้บริการที่ร้าน เรื่อง “ไข่มุกบุฟเฟ่ต์” หรือ “ไข่มุกไม่อั้นตักเอง” ก็ถือเป็นหนึ่งในการตลาดที่ดึงความสนใจลูกค้า แต่เหนือสิ่งอื่นใดหากเราเน้นที่ไข่มุกไม่อั้น เรื่องของรสชาติสินค้า หรือว่าการบริการก็ต้องให้สอดคล้องกันและดีในทุกทิศทาง จึงจะทำให้ลูกค้านิยมสินค้าของเราได้
3.มีสินค้าใหม่ออกมาต่อเนื่อง
ภาพจาก facebook.com/Zakicha88
ด้วยความที่เครื่องดื่มแนวนี้มีเยอะ คนดื่มก็จำเจเห็นซ้ำๆซากๆ หน้าที่ของร้านชาไข่มุกที่อยากมียอดขายดีขึ้นควรพัฒนาสินค้าให้น่าสนใจเสมอ เช่นการทำเครื่องดื่มวาไรตี้ตามเทศกาลหรือการเพิ่มท็อปปิ้งหลากหลายที่ไม่ใช่มีแค่ไข่มุกอย่างเดียวเราอาจเพิ่ม เฉาก๊วย เยลลี วุ้น วิปครีม ฯลฯ ซึ่งข้อดีเหล่านี้นอกจากจะสร้างเอกลักษณ์แล้ว ยังสามารถเพิ่มมูลค่าแก่สินค้าด้วย
4.บริการที่ดียังเป็นจุดขาย
ภาพจาก https://goo.gl/hsESgr
ให้สังเกตร้านชาไข่มุกใหญ่ๆ ที่เขาเปิดมานานทำไมร้านเหล่านี้คนยังติดใจ ทั้งๆที่สินค้าก็ไม่แตกต่างจากร้านค้าทั่วไป นั่นคือเรื่องการ “บริการ” “ความสะอาด” “ใส่ใจลูกค้า” ทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นเหมือนครอบครัว มีความสนิทกันมากขึ้น กลายเป็นความจงรักภักดีต่อแบรนด์แบบไม่รู้ตัว สำหรับร้านไข่มุกที่นอกจากคำว่า “บุฟเฟ่ต์” ต้องเน้นที่ “บริการ” หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสกับลูกค้าเสมอด้วย
5.สร้างช่องทางการขายที่มากกว่าหน้าร้าน
ภาพจาก facebook.com/chamook19
เราอาจมั่นใจว่า “ร้านชาไข่มุกสไตล์บุฟเฟ่ต์” จะเป็นตัวดึงดูดลูกค้าได้อย่างดี ซึ่งเราอาจจะเปิดตัวได้ฮือฮาในช่วงแรกๆ แต่เมื่อกระแสลดลงลูกค้าก็อาจลดลงตามไปด้วย
ดังนั้นช่องทางการขายจึงไม่ควรมีแต่หน้าร้าน นอกจากออฟไลน์ ควรมีออนไลน์ หรือจัดส่ง เดลิเวอรี่ หรือถ้าเปิดร้านในย่านออฟฟิศ ควรรับออร์เดอร์จากลูกค้าแล้วจัดส่งถึงโต๊ะทำงาน หรือหากเป็นไปได้ก็ควรเพิ่มความสามารถตัวเองให้รับงานจัดเลี้ยงต่างๆ ได้อีกช่องทางด้วย จะช่วยทำให้มีรายได้จากหลายทางมากขึ้น
ร้านชานมไข่มุกบุฟเฟ่ต์อาจเป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่น่าสนใจ ซึ่งในอนาคตก็อาจมีกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆมาสร้างกระแสได้อีก สิ่งสำคัญคือพื้นฐานของธุรกิจต้องมั่นคงแข็งแรง คนลงทุนต้องรู้จักการบริหารจัดการ และมีไอเดียใหม่ๆ มานำเสนอลูกค้า ซึ่งคำว่าไอเดียดีๆ ที่ว่านี้คือคีย์เวิร์ดสำคัญที่ทำให้ไม่ว่าจะลงทุนในธุรกิจใดๆ ไม่เจ๊งแน่นอน
SMEs Tips
- แบรนด์สินค้าต้องทำให้ลูกค้าประทับใจ
- การตลาดต้องเลิศ
- มีสินค้าใหม่ออกมาต่อเนื่อง
- บริการที่ดียังเป็นจุดขาย
- สร้างช่องทางการขายที่มากกว่าหน้าร้าน
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมาย ติดตามได้ที่ goo.gl/Io5k2S