4 วิธีลงทุนทำงานประจำก็ทำร้านอาหารได้
ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ระบุว่าในปี 2560 ที่ผ่านมามีจำนวนผู้ประกันตนอยู่ในระบบ14,647,101 คนแบ่งออกเป็นประกันตนตามมาตรา 33 , มาตรา 39 และ มาตรา 40
แต่จำนวนส่วนใหญ่จะอยู่ในระบบของพนักงานประจำหรือคนที่มีรายได้ต่อเดือนแน่นอน แต่ทั้งนี้คำว่ารายได้ต่อเดือนที่แน่นอนก็ไม่ได้หมายความว่าจะเพียงพอต่อความต้องการ
ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นมนุษย์เงินเดือนจำนวนไม่น้อย มองหาอาชีพเสริมทำเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองและหนึ่งในการลงทุนที่ชัดเจนที่สุดคือ “ธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหาร”
www.ThaiSMEsCenter.com มีข้อมูลอันน่าสนใจของมูลค่าตลาดธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยที่สูงถึงกว่า 4 แสนล้านบาทต่อปี ดึงดูดให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2560 มีจำนวนร้านอาหารที่จดทะเบียนนิติบุุคลรวม 12,630 ราย เพิ่มขึ้น 9% จาก ณ สิ้นปี 2559
และสำหรับปี 2561 ที่ก้าวมาถึงช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ ธุรกิจร้านอาหารก็ยังเป็นการลงทุนที่ง่ายและใครก็ทำได้แต่จะสำเร็จหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง สำหรับใครที่ทำงานประจำคงอยากรู้ว่าช่องทางที่ดีที่สุดของการทำธุรกิจอาหารแบบไม่ต้องลาออกนั้นมีวิธีไหนอย่างไรที่น่าสนใจบ้าง ตามไปดูกัน
1.Online Delivery
ภาพจาก goo.gl/4WUxjN
น่าจะเป็นวิธีการแรกสุดที่เราจะนึกถึง ยุคนี้เป็นโลกออนไลน์อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น หากเรามีร้านอาหารเดี๋ยวนี้สามารถสมัครเป็นสมาชิกกับแอพ Delivery ที่มีมากมายช่วยเพิ่มช่องทางการขายได้ดีขึ้น แต่สำหรับคนมีงานประจำไม่ได้มีร้านอาหาร ไม่มีหน้าร้าน ไม่มีเวลา Online Delivery ก็ยังน่าสนใจ
เพียงแต่เราอาจต้องมีผู้ช่วยที่คอยดูแลเพจใน Facebook หรือ Instagram จากนั้นก็เพียงอัพโหลดรูปอาหาร พร้อมราคา และค่าจัดส่ง มีร้านค้าในลักษณะนี้มากมายที่ทำแล้วประสบความสำเร็จอย่างดีเช่น เจ๊คิวปูม้านึ่ง หรือ ร้าน My Little Boss Baby Food อาหารเด็ก ระดับพรีเมี่ยม ส่งตรงถึงบ้าน เป็นต้น
แต่ใช่ว่าแค่อัพโหลดรูปอาหาร ใส่ราคา แล้วลูกค้าจะติดใจสั่งซื้อถล่มทลาย สิ่งที่เราต้องทำคือพัฒนาเมนูของเราให้มีความทันสมัยน่าสนใจเป็นอาหารที่ดึงดูดลูกค้าให้อยากลองกิน ซึ่งคนทำงานประจำต้องแบ่งเวลามาหาไอเดียและข้อมูลในสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สร้างรายได้จากการทำ Online Delivery ง่ายขึ้น
2.ซื้อแฟรนไชส์แล้วขายตามตลาดนัดตอนเย็น / เสาร์-อาทิตย์
คนขยันไม่มีวันจนเงินใช้ สามารถใช้กับวิธีการนี้ได้ เวลา 08.00-17.00 น.เราอาจทำงานประจำตามหน้าที่ แต่หลังจากเลิกงาน แทนที่จะไปช็อปปิ้ง เดินเที่ยวห้าง สังสรรค์กับเพื่อน
ลองเลือกมาขายของตามตลาดนัดตอนเย็น แม้จะดูว่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นแต่รายได้ที่เพิ่มขึ้นก็จะทำให้เราหายเหนื่อยได้เช่นกัน และเดี๋ยวนี้การหาร้านค้าว่าจะขายอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยาก
มีแฟรนไชส์มากมายให้เราเลือกลงทุน ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นทอด เครื่องดื่ม เครป ขนมหวาน ไอศกรีม ทุกธุรกิจมีแบรนด์ที่เป็นแฟรนไชส์ราคาก็เลือกได้ตามความเหมาะสม สำคัญคือต้องหาทำเลในการขาย
โฟกัสเลือกตลาดที่เราสามารถเดินทางไปได้ และหากเพิ่มเวลาในช่วงวันหยุดมาขายด้วย รายได้ก็จะยิ่งเพิ่มพูน แถมยังได้ประสบการณ์ดีไม่ดี รายได้รวมๆ อาจจะดีกว่าทำงานประจำด้วยซ้ำไป
3.ลงทุนกับ Food truck
ร้านอาหารประเภท Food truck เหมาะกับคนที่อยากเริ่มต้นในธุรกิจร้านอาหาร แต่อาจจะยังไม่พร้อมในเรื่องของเงินทุน หรือยังไม่แน่ใจว่าคอนเซ็ปต์ที่คิดไว้จะตอบโจทย์ตลาดหรือเปล่า
โดยข้อจำกัดของร้านอาหารประเภทนี้คือ จะไม่มีลูกค้าประจำ เพราะจำเป็นต้องย้ายสถานที่ไปเรื่อยๆ และไม่สามารถขายได้ทุกวัน ทำให้รายได้ไม่มีความแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น ร้าน Mother Trucker Burger, ร้าน Pizza Aroy ฯลฯ
อย่างไรก็ดีปัจจุบัน Food truck มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มและมีการแจ้งข่าวให้ทราบทั่วกันว่าที่ไหนมีการจัดงาน แบบไหน อย่างไร ทำให้สมาชิกในกลุ่มสามารถเลือกเข้าร่วมงานอีเว้นท์ต่างๆ ได้ง่าย
ขึ้นซึ่งเสน่ห์ของ Food truck ยังน่าสนใจลูกค้าชอบในบรรยากาศการแต่งรถ ที่ยิ่งเด่นก็ยิ่งขายดี ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเสริมรายได้ที่น่าสนใจไม่น้อย
4.Pop-up store/ร่วมงานอีเว้นท์
สำหรับคนทำงานประจำไม่มีเวลาขายของแต่เราอาจมีแบรนด์อาหารของตัวเองซึ่งข้อดีของการมีแบรนด์อาหารเองคือง่ายในการเข้าร่วมงานอีเว้นท์ต่างๆ ที่เราเลือกได้ว่าจะเข้าร่วมงานไหนอย่างไร งานหลายแห่งมีการจัดในช่วงวันหยุด หรือหากเราไม่ว่างจริงๆ ก็ยังจ้างพนักงานขายหรือให้ญาติพี่น้องไปขายแทนได้
ข้อดีของการเข้าร่วมงานในลักษณะของ Pop-up store คือเป็นการประชาสัมพันธ์แบรนด์ของเราให้คนรู้จักมากขึ้นสัมพันธ์กับการขายในระบบออนไลน์ และนอกจากนี้อาจทำให้เราได้ลูกค้าใหม่ๆ พันธมิตใหม่ๆ ไว้ต่อยอดในการทำธุรกิจอาหารของเราได้ง่ายขึ้นด้วย
ทั้งนี้ข้อจำกัดสำคัญของคนทำงานประจำแต่อยากมีธุรกิจร้านอาหาร คือเวลาที่เราให้กับการทำธุรกิจได้ไม่มากพอ และหากตัดสินใจลาออกมาขายอาหารก็เป็นการแบกความเสี่ยงมากเกินไป
เส้นทางสายกลางที่ดีที่สุดคือประคับประคองทั้งสองงานให้เดินหน้าไปด้วยกันได้ ทีนี้ก็อยู่ที่การบริหารจัดการเวลา และที่สำคัญต้องขยัน อย่าขี้เกียจ ดีไม่ดีธุรกิจอาหารของเราหากมั่นคงมากขึ้น รายได้มากขึ้น เราอาจเลือกลาออกจากงานแล้วมาบริหารเต็มตัวภายหลังก็ยังได้
SMEs Tips
- Online Delivery
- ซื้อแฟรนไชส์แล้วขายตามตลาดนัดตอนเย็น / เสาร์-อาทิตย์
- ลงทุนกับ Food truck
- Pop-up store/ร่วมงานอีเว้นท์
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมาย ติดตามได้ที่ goo.gl/Io5k2S