4 ต้นทุนที่ต้องรู้! ก่อนนำร้านเข้าร่วม Delivery

มูลค่าตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ปี 2563 อยู่ที่ 68,000 ล้านบาท ในปี 2564 คาดว่าจะมีมูลค่า74,000 ล้านบาท คาดการณ์ไปถึงปี 2567 น่าจะมีมูลค่า 99,000 ล้านบาท

แสดงให้เห็นชัดเจนว่า “ตลาดเดลิเวอรี่” นับจากนี้จะโตมากขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิดที่เร่งให้ตลาดเดลิเวอรี่โตเร็วมาก ทุกวันนี้ร้านอาหาร ร้านค้า ผู้ประกอบการจะต้องใช้ช่องทางเดลิเวอรี่เพิ่มยอดขาย

อย่างไรก็ดี www.ThaiSMEsCenter.com เชื่อว่าตอนนี้หากร้านไหนไม่มีบริการเดลิเวอรี่จะเสียโอกาสทางธุรกิจไปอย่างมาก เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เท่ากับว่า

โอกาสที่ลูกค้าของร้านอาหารร้านหนึ่งซึ่งเคยมาที่ร้านประจำ อาจหายไปอยู่ในตลาด Delivery ได้ ดังนั้น การนำพาร้านเข้าไปเป็นหนึ่งตัวเลือกในตลาด Delivery จึงเรียกได้ว่าเป็นทั้งการรักษาโอกาสทางการค้าและเพิ่มช่องทางการขาย

ทั้งนี้แม้การทำตลาดเดลิเวอรี่จะมีความน่าสนใจแต่ทุกอย่างต้องมีค่าใช้จ่ายในตัวเอง การทำตลาดเดลิเวอรี่ก็เช่นกันถ้ามองว่าเราอาจได้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น แต่ต้นทุนที่เราต้องใช้ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ลองไปดูว่าต้นทุนสำคัญของการนำร้านเข้าร่วมเดลิเวอรี่มีอะไรบ้าง

1. ค่า GP

ก่อนนำร้านเข้าร่วม

ภาพจาก www.freepik.com

ค่า GP (Gross Profit) คือ ค่าคอมมิชชั่นที่ร้านอาหารต้องจ่ายให้กับแอพสั่งอาหาร และนับเป็นค่าดำเนินการที่ทางแพลตฟอร์มเรียกเก็บ ซึ่งแต่ละเจ้าก็จะแตกต่างกันออกไป โดยจะคิดค่าบริการเป็น % จากยอดขาย ตัวอย่างเช่น

ค่าย Delivery A คิดค่าบริการ 30% หากมีลูกค้าออเดอร์อาหารผ่านค่าย Delivery A เป็นจำนวนเงิน 300 บาท ทางค่ายจะคิดค่าบริการอยู่ที่ (300 x 30)/100 = 90 บาท แสดงว่ารายได้ที่ร้านจะได้รับจากออเดอร์ 300 บาทก็คือ 300 – 90 = 210 บาทและที่ต้องวางแผนรับมือไว้ล่วงหน้าก็คือ ในบางผู้ให้บริการจะมีรอบเครดิตเทอม หรือรอบการจ่ายเงินให้กับร้านค้าตามรอบบัญชี ไม่ได้เคลียร์กันครั้งต่อครั้ง ซึ่งผู้ประกอบการก็ต้องศึกษาระเบียบ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้ละเอียดด้วย

ทั้งนี้ถ้าถูกเก็บ GP 30% ไม่จำเป็นต้องตั้งราคาขายเผื่อGP ถึง30% ก็ได้ เพราะอาจทำให้ราคาขายสูงไปให้ใส่เข้าไปสัก 15-20% ก็พอ เพราะ 10-15% ที่ตัดออกนั้น อยากให้คิดตามความเป็นจริงว่าหากเรามีหน้าร้านในการให้บริการเราจะมีค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งโดยปกติแล้วค่าเช่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 10-15% ของยอดขายเช่นกันก็ให้เขาไป เหลือกำไรพอสมควรแล้วทำการตลาดเพิ่ม เพื่อให้จำนวนออเดอร์มาเยอะ ๆ มาเฉลี่ยเมนูอื่น ๆ กำไรมาก กำไรน้อยแต่สุดท้ายยังมีกำไรได้

2. ค่าบรรจุภัณฑ์สำหรับจัดส่งเดลิเวอรี่

22

ภาพจาก www.freepik.com

บรรจุภัณฑ์เป็นเรื่องสำคัญในการจัดส่งเดลิเวอรี่ และเป็นต้นทุนสำคัญที่ธุรกิจต้องคำนึงถึงเนื่องจากการที่เราจ้างค่ายเดลิเวอรี่เป็นผู้ส่ง จะต้องทำใจว่าการดูแลอาหารของเราที่อยู่ในกล่อง Delivery นั้นอาจไม่เหมือนกับที่ลูกค้ามาซื้อจากหน้าร้าน

ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเสียหายต่อสินค้าจึงต้องหาบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะกับการจัดส่งเดลิเวอรี่ เพื่อให้สินค้าถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัยและมีหน้าตาที่ใกล้เคียงกับการทานที่ร้าน จึงทำให้อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มเติมขึ้นมา โดยปัจจุบันมีผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับเดลิเวอรี่ ซึ่งเราก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับสินค้าของเรา

ยกตัวอย่างเช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องดื่ม เช่น กาแฟ ชาไข่มุก ฯลฯ ส่วนใหญ่อาจบรรจุอยู่ในแก้วแบบซีลพลาสติกปิด ซึ่งถือเป็นบรรจุภัณฑ์ที่แน่นหนาและเหมาะที่สุดในการเดลิเวอรี่เมนูเครื่องดื่ม แต่ถ้าไม่มีเครื่องซีลฝาแก้ว ให้ใช้พลาสติกห่ออาหาร ปิดปากแก้ว แล้วค่อยครอบอีกหนึ่งชั้นด้วยฝา ก็เป็นอีกเทคนิคที่ทำให้น้ำไม่หกระหว่างการขนส่ง

หรือ บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารจานเดียว อย่างข้าวราดผัดกะเพรา ผัดซีอิ๊ว ฯลฯ ต้องมีฝาปิดมิดชิด ควรใช้เป็นกล่องพลาสติกแบบมีฝาปิด และไม่แนะนำให้ใช้กล่องโฟม เพราะอาหารอาจรั่วซึมออกมาขณะขนส่ง นอกจากนั้น ถ้าอยากรักษารสชาติของอาหาร ควรแยกข้าว และ กับข้าว ออกจากกัน เพื่อไม่ให้ข้าวดูดน้ำจากอาหารไปทั้งหมด

3. ค่าถ่ายภาพเพื่อการโฆษณา

21

ภาพจาก www.freepik.com

ภาพถ่ายอาหาร เครื่องดื่ม ที่สวยงาม จะดึงดูดลูกค้าให้สนใจได้ เพราะเราต้องไม่ลืมว่าภาพสินค้าเหล่านี้จะปรากฏในแอพพลิเคชั่นเดลิเวอรี่ ถ้าภาพสวยก็ดึงดูดลูกค้าได้ ปัจจุบันมีฟรีแลนด์ที่รับจ้างถ่ายภาพเพื่อนำไปใช้ในการโฆษณา ราคาก็ขึ้นอยู่กับความยากง่าย จำนวนภาพ ส่วนใหญ่ช่างภาพฟรีแลนด์เหล่านี้จะมีแพคเกจให้เลือกว่าต้องการถ่ายเซตไหน

หรือบางคนบอกว่าไม่ต้องจ้างฟรีแลนด์ถ่ายเองก็ได้จะได้ประหยัดเงิน แต่ที่จริงการถ่ายภาพเหล่านี้มีเทคนิคที่เราต้องเรียนรู้บางทีเราอาจไปเรียนคอร์สถ่ายภาพที่เขาเปิดสอน ซึ่งก็มีหลายที่ที่เปิดสอนคอร์สเรียนดังกล่าว หรือแม้แต่ในบางครั้งทางแอพเดลเวอรี่เอง ก็มีบริการถ่ายภาพสวยๆ ให้เจ้าของธุรกิจเช่น foodpanda เคยมีแคมเปญ “ถ่ายภาพอาหารให้ฟรี บริการดี ๆ จาก foodpanda เป็นต้น

4. ค่าโฆษณาเพื่อให้ร้านเป็นที่รู้จักในระบบเดลิเวอรี่มากขึ้น

20

ภาพจาก bit.ly/3Af8Hvm

สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรามีโอกาสการขายที่มากขึ้นกว่าร้านอื่นๆ ก็คือ การซื้อโฆษณาบนระบบเดลิเวอรี่เพื่อให้อยู่ในหน้าพิเศษต่างๆ ของค่ายนั้นๆ หรืออาจจะเป็นการร่วมทำโปรโมชั่นเพื่อให้ลูกค้าได้รู้จักและใช้บริการร้านเราได้ง่ายขึ้น ซึ่งงบประมาณส่วนนี้เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน

ยกตัวอย่างการใช้ Ad Manage ซึ่งเป็นบริการของ LINE MAN Wongnai เพื่อให้เจ้าของร้านอาหารสามารถโฆษณาร้านของได้ด้วยตัวเอง เพิ่มโอกาสพบเห็นได้มาก ข้อดีคือเจ้าของร้านสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ด้วยตัวเอง เปิดและปิดโฆษณาได้ทันทีตามความต้องการ มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 100 บาท เป็นต้น

อย่างไรก็ดีก่อนที่จะนำร้านเข้าสู่ระบบเดลิเวอรี่นอกจากต้นทุนต่างๆ ที่เราต้องยอมรับแล้ว การบริหารจัดการในร้านก็สำคัญ โดยเฉพาะการทำระบบบัญชี เพื่อให้มีรายงานยอดขายที่ตรงกัน

ซึ่งเราต้องเรียนรู้และศึกษาการทำบัญชีให้มีประสิทธิภาพรวมถึงเรื่องของคุณภาพอาหารที่ควรได้มาตรฐานเช่นเดียวกับการทานที่ร้านหรือมาซื้อที่หน้าร้าน หรือในกรณีที่ร้านเรามีลูกค้าเข้าร้านมาก ก็ต้องมีการบริหารจัดการคิวให้เหมาะสม เช่นบางร้านมีลูกค้าจำนวนมาก จึงมักเซตระบบโดยการเปิดอีกช่องทางเพื่อรับออเดอร์เดลิเวอรี่โดยเฉพาะ แยกออกจากลูกค้าหน้าร้าน เพื่อแก้ปัญหาในจุดนี้ เป็นต้น

 

อ้างอิงจาก https://bit.ly/2YoTxGV

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise


8 ขั้นตอน การพัฒนาระบบแฟรนไชส์

1. การวางแผนธุรกิจ ก่อนทำแฟรนไชส์

  • กำหนดรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ให้มีความชัดเจน โดนใจลูกค้า
  • ชื่อกิจการ (Brand)
  • การสร้างผลการดำเนินธุรกิจที่ดี ได้ผลกำไร มีความมั่นคง (Good ROI)
  • การสร้างแบรนด์ ตราสินค้า ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักผู้บริโภค
  • การพัฒนาสินค้าบริการ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน
  • การพัฒนาระบบบริการจัดการ จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • วางโครงสร้างองค์กรใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร ทีมงาน สนับสนุนระบบแฟรนไชส์
  • การวางแผน และกำหนดเป้าหมายการขยายธุรกิจ การขยายสาขา ทั้งในและต่างประเทศ
  • การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจ ทำเลที่ตั้ง และรูปแบบของร้านค้า
  • การเลือกใช้สื่อต่างๆ ช่องทางต่างๆ ในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างแบรนด์แฟรนไชส์

2. การรวบรวมข้อมูลธุรกิจ

  • ระบบการปฏิบัติงาน วิธีการบริหารจัดการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
  • ระบบการเงิน การบัญชี
  • งบประมาณในการลงทุนธุรกิจ การขยายสาขา
  • รูปแบบของร้านค้า รูปแบบของตราสินค้า ที่เป็นเอกลักษณ์
  • ระบบการสต็อกสินค้า จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • แผนงานการตลาด การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • กระบวนการพัฒนาบุคลากร ทีมงานด้านต่างๆ

3. การวิเคราะห์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • ธุรกิจเปิดมานานหลายปี จำนวนไม่น้อยกว่า 1สาขา
  • แบรนด์มีชื่อเสียงได้รับความนิยม เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้าง
  • สินค้าและบริการ มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด
  • เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มีผลกำไร ต่อเนื่อง เป็นที่น่าพอใจ
  • มีระบบการทำงาน การปฏิบัติงาน แผนการทำงานที่ชัดเจน สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นได้
  • มีระบบการพัฒนาบุคลากร และสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง เป็นมาตรฐาน
  • ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • แผนกลยุทธ์การขยายสาขา และเติบโตต่อเนื่อง เป็นรายเดือน หรือ รายปี

4. การวางโครงสร้างของระบบแฟรนไชส์

  • กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค
  • การสร้างองค์ความรู้ ระบบปฏิบัติงานต่างๆ ที่พร้อมถ่ายทอดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • วางระบบการปฏิบัติงานของแต่ละขั้นตอนธุรกิจ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่าย
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย แต่ละแผนกให้ชัดเจน รวมถึงขั้นตอนการอบรม ระบบตรวจสอบ เพื่อสร้างมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์
  • สร้างระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซี หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • การกำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ ในการขยายสาขาแฟรนไชส์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า (ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์)
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงแก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ช่วงเริ่มต้นได้
  • เงื่อนไขการเปิดสาขาในด้านต่างๆ

5. การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายแฟรนไชส์
  • ระบบการเงิน
  • ค่าธรรมเนียมต่างๆ
  • ข้อเสนอแฟรนไชส์ซี
  • การจดทะเบียนแฟรนไชส์
  • เรื่องกฎหมาย อายุสัญญาแฟรนไชส์
  • ระบบปฏิบัติงาน รูปแบบการให้สิทธิ
  • การตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์
  • แพ็คเกจต่างๆ ระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซีอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำคู่มือแฟรนไชส์ หรือโปรแกรมแฟรนไชส์
  • การจัดทำสัญญาแฟรนไชส์ รวมถึงเครื่องหมายการค้า

6. การวางแผนเพื่อขยายสาขาธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ เจ้าของแฟรนไชส์จะบริหารจัดการเองทุกอย่าง เพื่อสร้างความโดดเด่น สร้างความเด่นชัดให้แก่นักลงทุน ได้เห็นภาพของร้านที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนเปิดสาขาแฟรนไชส์ในภายหลัง
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟนไชส์ คือ เมื่อสาขาแรกมีความแข็งแกร่ง มั่นคง มีผลกำไรต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ แล้ว ก็ทดลองขยายสาขาเพิ่มอีก เพื่อทดสอบสาขาที่ 2 เป็นอย่างไร โดยนำเอาระบบการปฏิบัติงานทุกอย่างของร้านสาขาแรกมาปฏิบัติ ถ้าประสบความสำเร็จ ก็ค่อยขยายสาขาตัวเองเพิ่มอีก 2-3 สาขา ถ้าประสบความสำเร็จเหมือนสาขาแรก ก็ค่อยคิดขายแฟรนไชส์ให้กับคนอื่น

7. กระบวนการพัฒนาและปรับปรุงระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ระบบการบริหารจัดการในร้าน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน)วิเคราะห์ระบบการเงิน การลงทุน ในแต่ละสาขาที่เปิดทดลอง
  • พิจารณาปรับปรุงระบบงาน ระบบการทำงานต่างๆ ให้เหมาะสม
  • ระบบการพัฒนาทีมงานรองรับการขยายงาน ขยายสาขา
  • การวางแผนงานขยายสาขาแฟรนไชส์
  • เก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ กลุ่มลูกค้า ผลประกอบการ การดำเนินงาน ของสาขาแรก หรือสาขาต้นแบบ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ก่อนเปิดสาขาที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และขายแฟรนไชส์
  • จัดวางงบประมาณ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการขยายธุรกิจแฟรนไชส์

8. แผนการตลาดของธุรกิจแฟรนไชส์

  • การจัดทำคู่มือต่างๆ เพื่อแนะนำธุรกิจแฟรนไชส์
  • กระบวนการขายแฟรนไชส์ การคัดเลือกผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • กระบวนการติดตามลูกค้าเป้าหมาย
  • การนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ในงานแสดงธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • การจัดงาน สัมมนาการขายธุรกิจ แฟรนไชส์
  • การเปิดเยี่ยมชมธุรกิจ ร้านต้นแบบแฟรนไชส์
  • กระบวนการคัดเลือกแฟรนไชส์ซีที่เหมาะสม ตามหลักมาตรฐานแฟรนไชส์สากล
  • กระบวนการถ่ายทอดความรู้ การอบรม และให้คำปรึกษาแก่แฟรนไชส์ซี

สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

 

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด