10 ไอเดียของ startup ระดับเอเชีย
ในปี 2017 มี Startup ถึง 57 รายที่สามารถไต่เพดานธุรกิจจนได้เงินสนับสนุนจากนักลงทุนมากมายไปจนถึงระดับ Unicorn คือ มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญ หรือ 35,000 ล้านบาท
โดยที่ยังไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นสตาร์ทอัพในฝั่งยุโรปและอเมริกาแต่ที่ฮือฮาคือ Toutiao Media Startup ของประเทศจีนนั้นมีสินทรัพย์เป็นมูลค่าถึง 20 ล้านเหรียญ
ในปี 2018 ที่ผ่านมา Pitchbook ได้อัพเดทลิสต์รายชื่อ Unicorn หน้าใหม่ แม้จะนำโด่งในฝั่งสหรัฐเช่นเคยแต่ในระดับเอเชียก็มีที่น่าสนใจอย่างในจีนมีสตาร์อัพระดับ Unicorn ถึง 19 ราย เช่น Bitmain ,Meicai เป็นต้น
ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะในแถบเอเชียเราจะพบว่ามี สตาร์ทอัพมากมายที่ใช้ไอเดียสร้างธุรกิจขึ้นมาให้เหมาะกับความต้องการของคนในภูมิภาคซึ่ง www.ThaiSMEsCenter.com รวบรวมมาเป็น 10 ไอเดียสตาร์ทอัพระดับเอเชียที่น่าสนใจดังนี้
1.Omise
ภาพจาก www.omise.co/th
เป็น Startup ของเมืองไทยที่เริ่มต้นทำธุรกิจ Fintech โดยให้บริการ Online Payment ที่หวังเข้ามาช่วยตอบโจทย์ให้ผู้ใช้งานจ่ายเงินผ่านออนไลน์ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร
ซึ่ง Omise เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของระบบ Payment ของ True Corporation และร้านอาหารในเครือ Minor International นอกจากนี้ยังมีลูกค้าระดับชั้นนำอย่าง aCommerce, Kaidee, Ookbee และ Weloveshopping เป็นต้น
2.Sea Group
ภาพจาก www.seagroup.com
เป็นยูนิคอร์นสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนจากสิงค์โปร์เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทเกม Garena ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2009 ขยายไปในประเทศต่างๆ และเข้ามาในประเทศไทยปี 2012เริ่มแรกทำโปรดักต์เกี่ยวกับเกมออนไลน์ยอดฮิตอย่าง ROV, HON, LOL ฯลฯ
จากนั้นได้ขยายธุรกิจด้วยการเปิดตัว AirPay บริการชำระเงินที่มาแก้ปัญหาการเติมเงินในเกม จ่ายค่าสาธารณูปโภคและจุดเด่นอย่างการซื้อตั๋วหนังก็ได้ใจผู้ใช้งานอย่างมาก SEA Group มีนักลงทุนที่สนใจและหนุนให้กิจการเติบโตอย่างต่อเนื่องจนสามารถนำพาตัวเองเข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2017 ด้วยมูลค่าบริษัทราว 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
3.Shopee
ภาพจาก shopee.co.th
รู้จักกันเป็นอย่างดีสำหรับแอปพลิเคชั่นสำหรับสั่งซื้อและขายของออนไลน์จากสิงค์โปร ทั้งยังเป็นแอปพลิเคชั่นเจ้าแรกๆที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อขายสินค้าได้โดยง่ายผ่านสมาร์ทโฟน อีกทั้งระบบยังให้บริการการชำระเงินที่ปลอดภัย เรียกว่า “Shopee Guarantee”
ซึ่งเมื่อมีการทำธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้น ระบบจะทำการโอนเงินของผู้ซื้อไปที่บัญชีธนาคารแยกของ Shopee และผู้ขายจะได้รับเงินก็ต่อเมื่อสินค้าส่งถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัยแล้ว ซึ่งจะเป็นส่วนที่ทำให้มั่นใจในการซื้อขายของผ่านแอปพลิเคชั่น Shopee ว่าลูกค้าจะสามารถได้รับสินค้าอย่างแน่นอน
4.Xiaomi
ภาพจาก www.mi.com
ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2010 ในปัจจุบัน Xiaomi กลายเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจาก Apple และ Samsung จากการเติบโตที่รวดเร็วทำให้มีอัตราการจ้างงานสูงมาก และบริษัทก็มีมูลค่าธุรกิจกว่าพันล้านเหรียญ Xiaomi เป็นแบรนด์เทคโนโลยีที่ไม่ได้ขายเพียงแค่มือถือ
แต่ยังมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Smart watch, Powerbank โดย CEO ของบริษัทบอกว่าอยากทำสินค้าที่ดี แต่สามารถซื้อได้ในราคาแค่ครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับบริษัทคู่แข่ง Xiaomi ได้รับการขนานนามว่าเป็น “China Apple” ที่เคยขายโทรศัพท์มือถือ 15,000 เครื่องหมดภายใน 2 วินาที จนลง Guinness World Record เพราะสเปคที่ลูกค้าได้นั้นคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา
5.Flipkart
ภาพจาก www.flipkart.com
บริษัท Startup ที่ให้บริการเว็บไซต์ค้าปลีกออนไลน์เจ้าใหญ่ในตลาดอินเดีย ก่อตั้งโดยอดีตวิศวกรของ Amazon สามารถพัฒนาตัวเองให้เติบโตจนกลายมาเป็นคู่แข่งของ Amazon ในประเทศอินเดียได้
เติบโตมาจากการขายหนังสือผ่านช่องทางออนไลน์ จากนั้นก็แตกไลน์สินค้าออกไปมากกว่า 80 หมวด มีสินค้าจำหน่ายกว่า 80 ล้านชิ้น มีผู้ลงทะเบียนใช้งานแล้วมากกว่า 100 ล้านคนและมีพนักงานมากกว่า 30,000 คน
6.Kheyti
ภาพจาก kheyti.com
สตาร์ทอัพของอินเดีย ประดิษฐ์โรงเรือนต้นทุนต่ำเพื่อควบคุมผลผลิตจากสภาพอากาศและป้องกันศัตรูพืช จากข้อมูลพบว่า ในอินเดียมีเกษตรกรกว่า 120 ล้านราย โรงเรือนของ Kheyti เรียบง่าย เพราะใช้วัสดุน้อยชิ้น และมีขนาดเล็ก โรงเรือนนี้มากับระบบน้ำหยดที่จะช่วยลดอุณหภูมิให้กับพืช ลดการใช้น้ำได้มากถึง 90% พร้อมความสามารถในการป้องกันโรคของพืช และป้องกันปัญหาน้ำท่วมได้อีกด้วย
เกษตรกรจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า ราคาอยู่ที่ 2,000 เหรียญหรือประมาณ 70,000 บาท แต่ Kheyti ร่วมมือกับธนาคารให้มาเป็นพาร์ทเนอร์กับเกษตรกรที่มีรายได้น้อย โดยเปิดให้วางเงินดาวน์เริ่มต้นที่ 400 เหรียญหรือประมาณ 14,000 บาท หลังจากนั้นให้ชำระเงินเป็นไตรมาส ไตรมาสละ 175 เหรียญหรือราว 6,000 บาท ภายใน 3 ปีก็จะครบ
7.Go-Jek
ภาพจาก www.go-jek.com
บริษัท Startup จากอินโดนีเซีย ก่อตั้งเมื่อปี 2010 มีผู้ก่อตั้งคือ Nadiem Makarim มีเป้าหมายว่าอยากแก้ปัญหาคมนาคมในเมืองจาการ์ตา ที่มีสภาพการจราจรสุดแสนเลวร้าย ทำให้เขาเริ่มธุรกิจ call center ที่ให้บริการ Ojek หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างมีคนขับ 20 คน ก่อนจะพัฒนามาให้บริการผ่านแอพพลิเคชั่นที่ชื่อ Go-Jek (มาจาก Ojek) และได้รับความนิยมอย่างมาก
หลังจากที่รัฐบาลยกเลิกการใช้รถสามล้อรับจ้าง จนเวลาผ่านไป 7 ปี Go-Jek สามารถขยายธุรกิจออกไปยัง 25 เมืองใหญ่ในอินโดนีเซีย จนนับได้ว่าเป็น Startup ที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด นอกจากนั้นยังขยายไปให้บริการรถแท็กซี่ พร้อมทั้งแตกไลน์ไปยังบริการขนส่งที่หลากหลาย ซึ่งทุกบริการที่มีนั้นเน้นการส่งตรงถึงบ้าน เพื่อลดการเดินทางของประชาชน
8.Ola Cabs
ภาพจาก goo.gl/4wUGvx
บริษัท Startup จากอินเดียที่ให้บริการ Bike Sharing เพื่อรองรับเทรนด์และการเติบโตของธุรกิจ Bike Sharing ได้รับแรงบันดาลใจมากจากประเทศจีน โดยผู้ใช้งานเพียงค้นหาจักรยานผ่านแอปพลิเคชั่นด้วยระบบ GPRS และสแกนรหัสสำหรับปลดล็อก
หลังจากชำระค่าเช่าแล้ว ก็สามารถปั่นไปได้เลย เมื่อใช้เสร็จก็สามารถจอดไว้ข้างทางและจักรยานจะล็อกเองเมื่อหมดเวลาเช่า ด้วยประชากรในอินเดียที่มีจำนวนมหาศาลไม่แพ้จีน Ola จะยังคงมีอนาคตที่สดใสต่อไป โดยตอนนี้ได้เปิดตัวให้บริการในเขตของมหาวิทยาลัยในอินเดียก่อน ซึ่ง Ola มีแนวคิดเกี่ยวกับการใช้จักรยานว่า เหมาะสำหรับระยะทางที่สั้นเกินกว่าจะนั่งรถแท็กซี่ แต่ก็ไกลเกินกว่าที่จะเดิน
9.VIPKID
ภาพจาก www.facebook.com/VIPKID
เป็นสตาร์ทอัพจากประเทศจีน ที่ต้องการให้เด็กอายุ 4-12 ปีทุกคนได้มีโอกาสเรียนรู้ภาษากับครูชาวอเมริกัน จนเกิดเป็นแพลตฟอร์ม VIPKID ที่มีการสอนทั้งวิชาภาษาอังกฤษ, วิทยาศาสตร์, คณิตศาสตร์ และอีกหลากหลายวิชา โดยก้าวข้ามขีดจำกัดที่หลายคนมักมองกันว่าการเรียนออนไลน์นั้น ไม่ได้ผลดีเท่ากับการเรียนการสอนแบบเจอหน้ากัน และ VIPKID สามารถเติบโตจนมีนักลงทุนอีกมากมายที่ให้ความสนใจ
ไม่ว่าจะเป็น Sequoia Capital China, Tencent Holdings, Sinovation Ventures, Zhen Fund และ Yunfeng Capital ของ Jackma โดย 3 ปีก่อน VIPKID เริ่มต้นจากการมีคุณครูเพียง 400 คนและนักเรียนในระบบเพียง 3,300 คน แต่ปัจจุบันมีคุณครูในระบบกว่า 60,000 คน และมีนักเรียนในแพลตฟอร์มถึง 500,000 คน
10.ClearTax
ภาพจาก www.facebook.com/ClearTax
สตาร์ทอัพอินเดียที่จะช่วยให้เรื่องภาษีในอินเดียเป็นเรื่องเบาๆ ก่อตั้งโดย Archit Gupta, Srivatsan Chari และ Ankit Solanki ด้วยแพลทฟอร์มของ ClearTax ที่ช่วยจัดการด้านภาษีที่อดีตมีความซับซ้อน แต่ละรัฐในอินเดียจัดการต่างกัน ClearTax ได้เข้ามาแก้ปัญหาภาษีนี้อย่างครบวงจร โดยให้บริการทั้งบุคคลทั่วไป ธุรกิจ และผู้ตรวจสอบบัญชี
สิ่งที่เรามองเห็นจากสตาร์ทอัพเหล่านี้คือการ หยิบเอาปัญหามาแก้ไขและทำให้เป็นธุรกิจ สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงทุนแบบไหนอย่างไรดี ให้สำรวจรอบๆตัวเองว่ามีปัญหาอะไรที่ยังแก้ไขไม่ได้ ลองคิดและพยายามแก้ปัญหาเหล่านั้นของคนส่วนใหญ่ให้ได้ จุดเริ่มของสตาร์ทอัพมาจากตรงนั้นส่วนจะต่อยอดได้มากขนาดไหนก็อยู่ที่การบริหารและการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
SMEs Tips
- Omise
- Sea Group
- Shopee
- Xiaomi
- Flipkart
- Kheyti
- Go-Jek
- Ola Cabs
- VIPKID
- ClearTax
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมาย ติดตามได้ที่ goo.gl/Io5k2S
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise