เปิดสูตร! ออกบูธ ทำไงให้กำไรทุกครั้ง

การเข้าร่วมอีเว้นท์ หรือ ออกบูธ งานต่างๆ มีข้อดีคือการทำให้สินค้าเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งแต่ละปีมีหลายอีเว้นท์ที่จัดในหลายพื้นที่ทั้งงานขนาดเล็ก ไปจนถึงงานใหญ่ระดับประเทศ

แต่การจะเข้าร่วมงานไหนอย่างไรก็ต้องดูให้เหมาะสมกับ ธีมของแต่ละงานเป็นสำคัญ ทั้งนี้การเข้าร่วมงานออกบูธแต่ละครั้งจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมหลายอย่าง เช่น

  • เตรียมความพร้อมทีมขาย
  • วางแผนสำหรับการจัดพื้นที่บูธให้มีความเหมาะสม
  • การประชาสัมพันธ์
  • ค่าใช้จ่ายในการออกบูธ
  • การเตรียมวัตถุดิบ / สินค้าให้เพียงพอสำหรับการขาย

ซึ่งแน่นอนว่าทุกครั้งที่ร่วมออกบูธเป้าหมายที่ควบคู่กับให้คนรู้จักคือ “การสร้างรายได้” แต่ปัญหาที่เคยได้ยินมาบางครั้งก็ขาดทุน ทีนี้ก็ต้องมาประเมินกันว่าอะไรคือปัญหาที่ทำให้ทุนหายกำไรหด และจากข้อมูลที่เราเคยสอบถามคนร่วมออกบูธในหลายๆ งาน

บอกว่างานที่ไปร่วมแล้วขาดทุน เหตุผลส่วนใหญ่เพราะการประชาสัมพันธ์ของผู้จัดไม่ดี ดึงคนเข้ามาร่วมงานไม่ได้ หรือบางทีสถานที่ก็ไม่ตรงปก ไม่เหมือนกับที่นำเสนอไว้ รวมถึงไปสภาพอากาศก็มีผลต่อยอดขายของการออกบูธในแต่ละครั้งเช่นกัน

ออกบูธ

หากไปดูข้อมูลว่าการร่วมออกบูธแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ยกตัวอย่างงานอีเว้นท์บางงานที่จัดในห้างสรรพสินค้าหรือลานกิจกรรม จะมีพื้นที่ให้ 4 ตรม. ค่าใช้จ่ายวันละ 1,500 – 2,000 บาท ซึ่งราคานี้บางทีก็รวมค่าไฟ + โต๊ะ + ผ้าคลุมและเก้าอี้ + โครงสร้างบูธที่จัดเตรียมไว้ให้ เป็นต้น

หรือบางงานราคาก็ขยับไปเป็น 2,000 – 2,500 บาท ต่อวัน ก็ขึ้นอยู่กับผู้จัดและสถานที่ในแต่ละงานเป็นสำคัญด้วย หรือถ้าไปดูงานใหญ่ระดับมหกรรมที่จัดตามไบเทคบางนา หรือว่า เมืองทองธานี

ราคารวมออกบูธแต่ละครั้งก็แตะหลัก 20,000 -30,000 (ขึ้นอยู่กับงาน) แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่มา ออกบูธ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายบางทีก็มีที่ได้ออกบูธฟรี แต่ต้องมาในนามของหน่วยงานใดสักแห่ง เงื่อนไขต่าง ๆในการออกบูธแต่ละครั้งว่าต้องเสียเท่าไหร่ ยังไง หรือไม่เสียเงินเลยก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง

แต่ที่หลายคนอาจจะอยากรู้มากที่สุดคือถ้าเข้าร่วมออกบูธใน 1 งาน โอกาสกำไรหรือขาดทุนนั้นมากน้อยแค่ไหน? ถ้าตัดเรื่องยอดผู้คนที่เข้าชมงานที่เป็นหน้าที่ของผู้จัดต้องประชาสัมพันธ์ และค่าเช่าในการออกบูธแต่ละครั้ง

ออกบูธ

ก็ยังมีต้นทุนอีกหลายอย่างที่ต้องนำมาคำนวณ เช่น

  • ออกบูธกี่วัน
  • ตั้งเป้าว่าควรขายได้วันละเท่าไหร่
  • ต้นทุนวัตถุดิบ
  • ค่าน้ำค่าไฟค่าแรงงาน

เนื่องจากต้นทุนของสินค้าแต่ละประเภทในการออกบูธไม่เท่ากัน ยิ่งเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ต้องคำนวณวัตถุดิบให้เพียงพอต่อการขาย ถ้าสต็อคมากไปขายไม่หมดในแต่ละวันก็เป็นต้นทุนจมที่ทำให้เพิ่มภาระค่าใช้จ่าย หรือถ้าวัตถุดิบมีน้อยไปไม่เพียงพอกับการขายก็กระทบภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้เช่นกัน ดังนั้นการติดต่อซัพพลายเออร์ประสานงานเรื่องวัตถุดิบให้มีอย่างเพียงพอจึงสำคัญมาก

ทั้งนี้ใน ออกบูธ แต่ละครั้งจะมีต้นทุนในหลายส่วนมาเกี่ยวข้อง การคำนวณว่าออกบูธแต่ละครั้งมีกำไรหรือขาดทุนสามารถใช้ Excel เป็นตัวช่วยในการคำนวณได้ แต่ปัญหาคือหลายคนใช้โปรแกรมนี้ไม่เป็น ไม่รู้สูตรลัด เราจึงได้รวบรวมมาให้ดูกันเบื้องต้น 4 สูตรคือ

1.สูตรคิดรายรับ-รายจ่าย

ออกบูธ

สูตรคือ (เงินตั้งต้น + รายรับ) – รายจ่าย = เงินคงเหลือ

*เงินตั้งต้น คือ เงินต้นทุนก้อนแรกที่ร้านค้าใช้เพื่อดำเนินกิจการ

ตัวอย่างการใช้ = (D4+E4)-F4 = เงินคงเหลือ

2.สูตรคิดค่าคอมมิชชัน

ออกบูธ

วิธีคิดง่ายก็มาก ๆ โดยการเอาราคาสินค้าคูณกับเปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิชชัน ก็จะได้จำนวนค่าคอมมิชชันของคนขาย

*ค่าคอมมิชชัน คือ ส่วนแบ่งทางการขายที่คำนวณจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขายสินค้า

สูตรคือ ราคาสินค้า x ค่าคอมมิชชัน % = เงินค่าคอมมิชชัน

ตัวอย่างการใช้ = B2*C2% = เงินค่าคอมมิชชัน

3.สูตรเทียบยอดขายกับค่าใช้จ่าย

ออกบูธ

เพื่อให้รู้ว่ายอดค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในแต่ละวันเป็นเท่าไหร่ คิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของยอดขาย ณ ขณะนั้น

สูตรคือ (ค่าใช้จ่าย / ยอดขาย) x 100 = ค่าใช้จ่าย (x% ของยอดขาย)

ตัวอย่างการใช้ = (C2/B2)*100 = ค่าใช้จ่าย (x% ของยอดขาย)

4.สูตรคิดส่วนลดสินค้า

ออกบูธ

ในกรณีที่ออกบูธซึ่งต้องมีการจัดโปรโมชันดึงดูดลูกค้าร่วมด้วย การลดราคาจึงเป็นสิ่งที่นำมาใช้ ก็มีสูตร Excel ที่ใช้คำนวณได้

สูตรคือ ราคาเต็ม – (ราคาเต็ม x ส่วนลด %) = ราคาหลังหักส่วนลด

ตัวอย่างการใช้ = B2-(B2*C2) = ราคาหลังหักส่วนลด

ทั้งนี้การใช้ Excel เข้ามาช่วยในการคำนวณสำหรับผู้ที่ใช้งานได้ประจำจะทราบดีว่าประหยัดเวลาได้มาก และหลายคนที่ไม่ถนัดก็อาจจะซื้อโปรแกรม Excel ที่เป็นสูตรสำเร็จไม่ต้องมานั่งใส่สูตร เพียงแค่กรอกตัวเลขในช่องที่ต้องการ ระบบก็จะคำนวณตัวเลขออกมาให้อย่างชัดเจน ก็ประหยัดเวลาได้มากขึ้นด้วย

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด