แพลตฟอร์มใหม่ “Family Mart” ปรับโฉมสู่การเป็น One Stop Shopping Destination
Family Mart ถือเป็นคู่แข่งสำคัญของ 7-Eleven แม้ว่าจำนวนสาขาจะน้อยกว่า 7-Eleven มีจำนวนสาขามากกว่า Family Mart หลายเท่าตัว ปัจจุบัน 7-Eleven มีสาขาทั่วประเทศ 9,542 แห่ง (สิ้นปี 59) ขณะที่ Family Mart มีสาขาทั่วประเทศ 1,136 แห่ง เรียกว่าจำนวนสาขาของทั้งสองร้านค้าห่างกันถึง 9 เท่า
Family Mart มีเจ้าของเป็น บริษัท เซ็นทรัลแฟมิลี่มาร์ท จำกัด บริษัทในเครือเซ็นทรัล ได้ก่อตั้งขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2535 เปิดสาขาแรก (สาขาพระโขนง) และเปิดสาขาสอง (สาขาสีลม) ในปี 2536 แฟมิลี่มาร์ทเป็นบริษัทย่อยของบริษัท อิโตชู จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ได้ขยายเครือข่ายไปยังต่างประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 ปัจจุบันขยายสาขารูปแบบแฟรนไชส์
7-Eleven มีเจ้าของเป็น บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้รับสิทธิการใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวจาก 7-Eleven, Inc. สหรัฐอเมริกา และได้เปิดร้านสาขาแรกที่ซอยพัฒน์พงษ์ เมื่อปี 2532 ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร้าน 7-Eleven เฉลี่ยวันละ 11.7 ล้านคน และขยายสาขาแบบแฟรนไชส์
แต่วันนี้ www.ThaiSMEsCenter.com จะพาคุณผู้อ่านไปดูมิติใหม่ของ Family Mart ที่ยกระดับสู่การเป็น “One Stop Shopping Destination” มี Co-Working Space เป็นจุดนัดพบของคนทำงานเมืองกรุงได้เป็นอย่างดี
หลังจาก Family Mart เปิดฟอร์แมตใหม่สาขาฮอลิเดย์ อินน์ แถวสีลม ไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดได้ต่อยอดมาสู่การพัฒนา สาขาสุขุมวิท 33 ที่มีทั้งขนาดพื้นที่ และสินค้า-บริการครบมากกว่าเดิม เชื่อว่าใครได้เข้าไปใช้บริการแล้ว ต้องบอกว่าเป็นมิติใหม่ของร้านสะดวกซื้อในไทย เราไปดูกันว่า Family Mart สาขาสุขุมวิท 33 มีความแปลกใหม่อย่างไร
1. แฟมิลี่มาร์ท สุขุมวิท 33 พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “Fresh Fun and Friendly” ในบรรยากาศแบบญี่ปุ่น สไตล์มินิมอล
2. สาขานี้ถูกออกแบบให้มี 2 ชั้น เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์คนเมือง ผสานกับความเรียบง่าย ที่มีสินค้าและบริการครบวงจร รวมทั้งมี Co-working Space เพื่อต้องการให้สาขานี้ “One Stop Shopping Destination”
3. กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ คนที่อาศัยในย่านสุขุมวิท 33, คนทำงานย่านนี้, นักเรียน-นักศึกษา, นักท่องเที่ยว และคนที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าขึ้น-ลงที่สถานีพร้อมพงษ์ และรถขนส่งสาธารณะ
4. มีสินค้าและบริการมากกว่า 3,000 รายการ
5. ชั้น 1 แบ่งออกเป็น 8 โซนหลัก ได้แก่
- กลุ่มผลไม้และดอกไม้สด
- กลุ่มของที่ระลึก เช่น สบู่ผลไม้ ผลไม้อบแห้ง กระเป๋าลายผ้าไทย
- กลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน
- กลุ่มเครื่องดื่ม
- กลุ่มเบเกอรี่และกาแฟสด เบเกอรี่อบสดจาก Origin by Srifa Bekery และกาแฟสด Fami Cafe coffee arigato และกาแฟสด Segafredo
- สินค้าสุขภาพและความงาม
- สินค้านำเข้า เช่น ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม
- หนังสือและนิตยสาร
6. ชั้น 1 มีเคาน์เตอร์บาร์ พร้อมเก้าอี้ให้นั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม
7. พื้นที่ชั้น 2 ออกแบบให้เป็น Co-working Space “Open Space” บนพื้นที่กว่า 200 ตารางเมตร ถือเป็นร้านสะดวกซื้อรายแรกที่เปิดให้บริการ co-working space พร้อมให้บริการ wifi โดยโซนนี้เปิดให้บริการเวลา 8.00 – 24.00 น.
8. เอาใจสาวก Japanese ด้วยตู้ไข่หมุน กาชาปอน (Gachapon) ที่มาพร้อมกับฟูจิโกะ คอลเลคชั่น ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 2
9. สาขานี้เปิดให้บริการชำระค่าบริการเติมเงิน และความบันเทิงออนไลน์ในทุกรูปแบบ เช่น เครดิตการ์ด, Rabbit card, Alipay, บัตรกิฟท์การ์ด Joox, Line prepaid card, Hollywood HDTV และบริการส่งพัสดุ Kerry Express และบริการเดลิเวอรี่ โดย Go Mart จาก GoBike เพื่อตอบโจทย์ความสะดวกให้กับคนไทย และชาวต่างชาติ
ภาพจาก www.facebook.com/FamilyMartThailand
ทั้งนี้ Store แพลตฟอร์มสาขาสุขุมวิท 33 เป็นการพัฒนาสาขาที่ตอบรับเทรนด์ค้าปลีกที่กำลังมาแรงอย่างเทรนด์ “Grocerants” (Grocery Store + Restuarants) คือการบริหารพื้นที่ค้าปลีกให้มีทั้งของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน พร้อมด้วยจัดเตรียมที่นั่งรับประทานอาหารให้กับลูกค้า ที่สำคัญมี wifi สามารถนั่งทำงานได้ด้วย
แม้จะไม่ได้เป็น Grocerants อย่างเต็มรูปแบบเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นแล้วกับ “ซูเปอร์มาร์เก็ต” ทั้งในไทยและต่างประเทศก็ตาม แต่การขยับตัวครั้งนี้ของ family Mart ในไทย ได้เขย่าวงการค้าปลีกร้านสะดวกซื้อให้พลิกโฉมหน้าครั้งใหญ่
อ่านบทความอื่นๆ จากไทยแฟรนไชสฺเซ็นเตอร์ www.thaifranchisecenter.com/home.php
ขอบคุณรูปภาพจาก goo.gl/PHQqeA