อยากนำสินค้าวางขายใน Lotus ต้องทำอะไรบ้าง
สำหรับผู้ประกอบการที่มีสินค้าย่อมต้องการช่องทางจำหน่ายที่ทรงพลัง ซึ่งแน่นอนว่าการนำสินค้าวางจำหน่ายใน Modern Trade คือสิ่งที่หลายคนต้องการโดยเฉพาะการจำหน่ายใน Hypermarket หรือ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น Lotus และ Big C แต่ก็เกิดคำถามตามมาอีกว่าแล้วระหว่าง Lotus และ BigC ช่องทางไหนที่น่าสนใจที่สุด
หากพูดกันตามจริง ทั้ง 2 แบรนด์ถือเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการ มีพลังในการดึงดูดลูกค้ามหาศาลก็ขึ้นอยู่กับสินค้าเราเองว่าคืออะไร แต่หากวัดในแง่ของดัชนีวัดความพึงพอใจต่อกลุ่มห้าง ที่ Dunhumby ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลธุรกิจ ได้จัดทำไว้ระบุว่าในปีที่ผ่านมา Lotus ครองอันดับหนึ่งในด้านนี้ www.ThaiSMEsCenter.com เชื่ออย่างยิ่งว่าสิ่งที่คนอยากรู้มากที่สุดตอนนี้คือถ้าเรามีสินค้าและอยากวางขายใน Lotus ต้องทำอะไรบ้าง
ทำไมการวางสินค้าใน “Lotus” ถึงน่าสนใจ?
ภาพจาก https://bit.ly/3y5qEx1
ข้อมูลระบุว่าโลตัสในประเทศไทย มี 2,084 สาขา แบ่งเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต 217 สาขา ,ซูเปอร์มาร์เก็ต 195 สาขา ,มินิ ซูเปอร์มาร์เก็ต 1,672 สาขา มีจำนวนการซื้อทั้งช่องทางออฟไลน์ (สาขา) และออนไลน์ มากกว่า 10 ล้านครั้งในหนึ่งสัปดาห์ในขณะที่จำนวนบัตรสมาชิกโลตัสการ์ด มากกว่า 15 ล้านสมาชิก ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า Lotus มีพลังในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากแค่ไหน
และหลังจากที่กลุ่มบริษัท ซี.พี. ในนาม บริษัท ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด ได้เข้าซื้อกิจการของ Lotus ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในด้านธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น แต่ถึงกระนั้น ใช่ว่าทุกคนที่มีสินค้านึกจะเอามาขายก็ขายได้เลย ด้วยความที่ Lotus เป็นธุรกิจระดับประเทศจึงต้องมีคุณภาพในการคัดสรรสินค้าเป็นอย่างดีเพื่อประโยชน์ของลูกค้าที่มาใช้บริการเป็นสำคัญ
วิธีนำสินค้าวางจำหน่ายใน Lotus
ภาพจาก https://bit.ly/3y5qEx1
1.ดูสินค้าที่ Lotus ต้องการจากผู้ผลิต
Lotus เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่จึงต้องมีสินค้าที่หลากหลาย การจะนำสินค้าใดๆ วางจำหน่ายกับ Lotus ต้องดูว่าเป็นสินค้าที่ทาง Lotus ต้องการหรือไม่ โดยส่วนใหญ่ผู้ประกอบการที่จะเป็นคู่ค้ากับ Lotus ควรมีสินค้าในกลุ่ม อาหารสด และอาหารพร้อมรับประทาน , เนื้อสัตว์ , อาหารทะเลสด , อาหารสำเร็จรูป , เบเกอรี่ , เครื่องดื่ม , ขนมขบเคี้ยว , สินค้าความงาม , สินค้าอุปโภคต่างๆ เป็นต้น
2.สินค้าได้มาตรฐาน GMP / HACCP
ผู้ประกอบการที่จะนำเสนอสินค้าให้ Lotus พิจารณา โดยเบื้องต้นสินค้านั้นต้องมีมาตรฐาน GMP / HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิต ทั้งด้านความสะอาด ปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมายในด้านจริยธรรม และการจ้างแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ภาพจาก https://bit.ly/3y5qEx1
3. นำเสนอสินค้าผ่านช่องทาง www.TescoLotus.com/SME
ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอสินค้าผ่าน www.TescoLotus.com/SME เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาโดยจะมีฝ่ายจัดซื้อ (Buyer) แต่ละแผนกสินค้าของ Lotus พิจารณาผลิตภัณฑ์ของใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 30 วันโดยทาง Lotus และผู้ประกอบการจะมีการพูดคุยร่วมกัน
เช่น เงื่อนไขต่างๆ กำลังการผลิต ต้นทุนสินค้า สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องพัฒนา หรือปรับปรุงสินค้าเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน Lotus หากสินค้าผ่านการคัดเลือก และ สามารถตกลงกันในเงื่อนไขต่างๆ ได้แล้ว ก็พร้อมให้สินค้านั้นเข้ามาวางสินค้านั้น เข้ามาวางจำหน่ายในโลตัสสาขาต่างๆ
ทั้งน้ Lotus ให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการที่นำสินค้ามาวางจำหน่ายร่วมกับ Lotus ด้วยเช่นกันเพราะเข้าใจดีว่าต้นทุนของผู้ประกอบการอาจต้องเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ Lotusจึงมีทีมงานพัฒนาธุรกิจ และทีมพัฒนาคุณภาพสินค้า ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการในด้านการลดต้นทุน เพราะถ้าผู้ประกอบการรายนั้นๆ ยังผลิตในต้นทุนที่สูงกว่าราคาขาย ย่อมไม่เกิดประโยชน์ใดๆในการทำธุรกิจ
ต้นทุนการนำสินค้าจำหน่ายใน Lotus มีอะไรบ้าง
ภาพจาก https://bit.ly/3y5qEx1
ในที่นี้เราจะไม่ได้โฟกัสไปที่ตัวเลขชัดเจน เพราะเป็นเงื่อนไขที่ทาง Lotus และผู้ประกอบต้องมาพูดคุยกันในรายละเอียดอีกที แต่โดยส่วนใหญ่จะมีต้นทุนที่สำคัญดังนี้
- ค่าแรกเข้าหรือ Entrance Fee ที่มีรูปแบบในการเรียกเก็บแตกต่างกันออกไปตามแต่ละ Modern Trade ซึ่งที่ Lotus จะใช้วิธีเรียกเก็บเป็นเอสเคยูต่อปี เป็นต้น
- ค่า Rebate หรือเงินที่เรียกเก็บจากเป้ายอดขายที่ต้องทำให้ได้ตามที่ทาง Lotus ตั้งไว้ โดยค่า Rebate นี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ Lotus นำมาใช้ในการกำหนดโปรโมชั่น หรือการเล่นเรื่องราคา เพื่อผลักดันการขายให้ได้มากขึ้น หรือเรียกง่ายๆ ว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้ย้อนกลับมาเป็นแคมเปญกระตุ้นยอดขายนั่นเอง
- ค่า Distribution Fee หรือค่ากระจายสินค้า เป็นค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากซัพพลายเออร์ เนื่องจากการกระจายสินค้าของไฮเปอร์มาร์เก็ตจะมีศูนย์กระจายสินค้าที่มีทั้งที่เป็นของตัวเองและที่จ้างบริษัทภายนอก ซึ่งตัวซัพพลายเออร์จะต้องขนสินค้ามาที่ศูนย์กระจายสินค้าเพื่อให้ทางห้างเป็นคนกระจายสินค้าเข้าสู่แต่ละสาขาเอง ตรงนี้จะช่วยลดต้นทุนกับซัพพลายเออร์ ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับค้าปลีกด้วย
นอกจากต้นทุนเบื้องต้นเหล่านี้อาจมีต้นทุนอื่นๆ ที่เป็นเงื่อนไขเฉพาะของผู้ประกอบการแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าการได้นำสินค้ามาวางจำหน่ายใน Lotus ข้อดีที่หนึ่งคือโอกาสเพิ่มยอดขายที่มากขึ้น ข้อดีที่สองคือยกระดับสินค้าให้ดูพรีเมี่ยมมากขึ้น ทั้งนี้ผู้ประกอบการควรคำนวณต้นทุนกำไรและศึกษารายละเอียดให้ชัดเจนเพื่อการวางขายสินค้าใน Lotus จะได้เกิดประโยชน์สูงสุดตามที่ต้องการจริงๆ
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจติดตามได้ที่ https://bit.ly/335phDi
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/3d1mj4f , https://bit.ly/3ln2usG , https://bit.ly/32LGAcn , https://bit.ly/3D5qIxN , https://bit.ly/3rmgd6P
อ้างอิงจาก https://bit.ly/3GvxMGe
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)