หลักเกณฑ์ การคิดค่า Marketing Fee ในธุรกิจแฟรนไชส์

ธุรกิจแฟรนไชส์หลายๆ แบรนด์ในเมืองไทยนอกจากจะคิดค่าสิทธิ Royalty Fee ยังมี หลักเกณฑ์ การคิดค่า Marketing Fee/ Advertising Fee หรือค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ธุรกิจจากแฟรนไชส์ซีเป็นรายเดือนอีกด้วย

ซึ่ง หลักเกณฑ์ การคิดค่า Marketing Fee ถือว่ามีความสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจแฟรนไชส์เป็นอย่างมาก เพราะเงินส่วนนี้แฟรนไชส์ซอร์จะนำไปใช้ในการพัฒนา พัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำการตลาด จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นยอดขายให้กับเครือข่ายแฟรนไชส์

ถ้าถามว่า Marketing Fee มีหลักเกณฑ์คิดและจัดเก็บอย่างไร วันนี้ www.ThaiSMEsCenter.com จะนำเสนอให้ทราบครับ ซึ่งส่วนใหญ่ Marketing Fee จะเก็บเป็นรายเดือน ประมาณ 3-5% ของยอดขาย

การคิดค่า Marketing Fee

อย่างกรณีของแฟรนไชส์ร้านกาแฟ “คาเฟ่ อเมซอน” คิดค่า Royalty Fee 3% ของยอดขายรายเดือน และค่า Marketing Fee 3% ของยอดขายรายเดือน ส่วนค่า Franchise Fee อยู่ที่ 150,000 บาท ซึ่งค่าแฟรนไชส์ถือว่าไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับแบรนด์แฟรนไชส์ร้านกาแฟที่คนรู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยจำนวนสาขากว่า 3,500 สาขา

หลักเกณฑ์คิดค่า Marketing Fee

การคิดค่า Marketing Fee

ค่าการตลาดเป็นค่าสิทธิอีกแบบที่แฟรนไชส์ซีต้องจ่ายต่อเนื่องเหมือนค่า Royalty Fee การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ลูกค้าผู้บริโภครู้จักตราสินค้า (Brand) เป็นหัวใจของธุรกิจแฟรนไชส์ให้มีคนสนใจอยากลงทุนและซื้อสินค้า ซึ่งคนที่เข้ามาเป็นแฟรนไชส์ซีของแบรนด์แฟรนไชส์สักยี่ห้อหนี่งก็เป็นผลงานจากการสร้างแบรนด์ และทำการตลาด ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และประโยชน์อย่างหนึ่งของการซื้อแฟรนไชส์ ก็คือ การตลาด การโฆษณา

รู้หรือไม่ว่า ทำไมร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ถึงมีคนสนใจซื้อแฟรนไชส์จำนวนมาก จนมีสาขาเกือบ 13,000 สาขาทั่วประเทศ ก็เพราะบริษัทซีพีออล์สร้างแบรนด์ ทำการตลาด พัฒนาสินค้าและบริการ ทำโปรโมชั่น จนทำให้ 7-Eleven มีชื่อเสียง ลูกค้าเข้าใช้บริการไม่ขาดสาย ไม่มีสาขาแฟรนไชส์ไหนที่ลุกขึ้นมาลงโฆษณาและจัดโปรโมชั่นเองเลย

การโฆษณาสินค้าหรือธุรกิจในระบบแฟรนไชส์จะเน้นการตอกยํ้าแบรนด์ แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของแฟรนไชส์ซีใดๆ เลย แต่สาขาแฟรนไชส์ซีก็ขายได้ ลูกค้ารู้ช่วงเวลาโปรโมชั่น ทำให้แฟรนไชส์ซีทุกรายได้ประโยชน์เหมือนกันหมด

การคิดค่า Marketing Fee

ธุรกิจแฟรนไชส์หลายๆ แบรนด์เรียกเก็บ Marketing Fee เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายของเดือนเหมือน Royalty Fee บางแบรนด์แฟรนไชส์เก็บเหมาเป็นก้อนรายเดือน หรือรายปี ส่วนธุรกิจแฟรนไชส์แบรนด์ไหนที่ไม่ค่อยได้โฆษณาอาจเก็บเป็นครั้งๆ ก็ได้

แต่ถ้าเจอแฟรนไชส์ซีเบี้ยวไม่ยอมจ่าย หรือจ่ายช้าก็อาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่การเก็บค่า Marketing Fee จะส่งผลดีกับแฟรนไชส์ซีที่ค่าใช้จ่ายไม่เพิ่มมากนัก เพราะไม่ได้โฆษณา ทำการตลาดด้วยงบของตัวเอง

การคิดค่า Marketing Fee

อย่างไรก็ตาม การเก็บค่า Marketing Fee เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเหตุให้ทะเลาะกันได้ง่าย โดยเฉพาะตอนยอดขาย เกิดวิกฤติ ดังนั้น เจ้าของแฟรนไชส์ควรเขียนให้ชัดในสัญญา อธิบายว่าทำไมต้องเก็บ Marketing Fee จะได้ไม่เข้าใจกันผิดทีหลัง

แต่ถ้าเขียนในสัญญาชัดแต่ยังเบี้ยว ก็เลิกสัญญาได้ ที่สำคัญเจ้าของแฟรนไชส์อธิบายให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์เห็นถึงประโยชน์จากระบบสนับสนุนของเจ้าของแฟรนไชส์ ช่วยแก้ปัญหา และเพิ่มยอดขายให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ให้ได้

อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก https://bit.ly/3erljXX


8 ขั้นตอน การพัฒนาระบบแฟรนไชส์

1. การวางแผนธุรกิจ ก่อนทำแฟรนไชส์

  • กำหนดรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ให้มีความชัดเจน โดนใจลูกค้า
  • ชื่อกิจการ (Brand)
  • การสร้างผลการดำเนินธุรกิจที่ดี ได้ผลกำไร มีความมั่นคง (Good ROI)
  • การสร้างแบรนด์ ตราสินค้า ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักผู้บริโภค
  • การพัฒนาสินค้าบริการ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน
  • การพัฒนาระบบบริการจัดการ จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • วางโครงสร้างองค์กรใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร ทีมงาน สนับสนุนระบบแฟรนไชส์
  • การวางแผน และกำหนดเป้าหมายการขยายธุรกิจ การขยายสาขา ทั้งในและต่างประเทศ
  • การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจ ทำเลที่ตั้ง และรูปแบบของร้านค้า
  • การเลือกใช้สื่อต่างๆ ช่องทางต่างๆ ในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างแบรนด์แฟรนไชส์

2. การรวบรวมข้อมูลธุรกิจ

  • ระบบการปฏิบัติงาน วิธีการบริหารจัดการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
  • ระบบการเงิน การบัญชี
  • งบประมาณในการลงทุนธุรกิจ การขยายสาขา
  • รูปแบบของร้านค้า รูปแบบของตราสินค้า ที่เป็นเอกลักษณ์
  • ระบบการสต็อกสินค้า จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • แผนงานการตลาด การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • กระบวนการพัฒนาบุคลากร ทีมงานด้านต่างๆ

3. การวิเคราะห์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • ธุรกิจเปิดมานานหลายปี จำนวนไม่น้อยกว่า 1สาขา
  • แบรนด์มีชื่อเสียงได้รับความนิยม เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้าง
  • สินค้าและบริการ มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด
  • เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มีผลกำไร ต่อเนื่อง เป็นที่น่าพอใจ
  • มีระบบการทำงาน การปฏิบัติงาน แผนการทำงานที่ชัดเจน สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นได้
  • มีระบบการพัฒนาบุคลากร และสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง เป็นมาตรฐาน
  • ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • แผนกลยุทธ์การขยายสาขา และเติบโตต่อเนื่อง เป็นรายเดือน หรือ รายปี

4. การวางโครงสร้างของระบบแฟรนไชส์

  • กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค
  • การสร้างองค์ความรู้ ระบบปฏิบัติงานต่างๆ ที่พร้อมถ่ายทอดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • วางระบบการปฏิบัติงานของแต่ละขั้นตอนธุรกิจ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่าย
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย แต่ละแผนกให้ชัดเจน รวมถึงขั้นตอนการอบรม ระบบตรวจสอบ เพื่อสร้างมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์
  • สร้างระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซี หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • การกำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ ในการขยายสาขาแฟรนไชส์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า (ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์)
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงแก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ช่วงเริ่มต้นได้
  • เงื่อนไขการเปิดสาขาในด้านต่างๆ

5. การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายแฟรนไชส์
  • ระบบการเงิน
  • ค่าธรรมเนียมต่างๆ
  • ข้อเสนอแฟรนไชส์ซี
  • การจดทะเบียนแฟรนไชส์
  • เรื่องกฎหมาย อายุสัญญาแฟรนไชส์
  • ระบบปฏิบัติงาน รูปแบบการให้สิทธิ
  • การตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์
  • แพ็คเกจต่างๆ ระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซีอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำคู่มือแฟรนไชส์ หรือโปรแกรมแฟรนไชส์
  • การจัดทำสัญญาแฟรนไชส์ รวมถึงเครื่องหมายการค้า

6. การวางแผนเพื่อขยายสาขาธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ เจ้าของแฟรนไชส์จะบริหารจัดการเองทุกอย่าง เพื่อสร้างความโดดเด่น สร้างความเด่นชัดให้แก่นักลงทุน ได้เห็นภาพของร้านที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนเปิดสาขาแฟรนไชส์ในภายหลัง
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟนไชส์ คือ เมื่อสาขาแรกมีความแข็งแกร่ง มั่นคง มีผลกำไรต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ แล้ว ก็ทดลองขยายสาขาเพิ่มอีก เพื่อทดสอบสาขาที่ 2 เป็นอย่างไร โดยนำเอาระบบการปฏิบัติงานทุกอย่างของร้านสาขาแรกมาปฏิบัติ ถ้าประสบความสำเร็จ ก็ค่อยขยายสาขาตัวเองเพิ่มอีก 2-3 สาขา ถ้าประสบความสำเร็จเหมือนสาขาแรก ก็ค่อยคิดขายแฟรนไชส์ให้กับคนอื่น

7. กระบวนการพัฒนาและปรับปรุงระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ระบบการบริหารจัดการในร้าน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน)วิเคราะห์ระบบการเงิน การลงทุน ในแต่ละสาขาที่เปิดทดลอง
  • พิจารณาปรับปรุงระบบงาน ระบบการทำงานต่างๆ ให้เหมาะสม
  • ระบบการพัฒนาทีมงานรองรับการขยายงาน ขยายสาขา
  • การวางแผนงานขยายสาขาแฟรนไชส์
  • เก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ กลุ่มลูกค้า ผลประกอบการ การดำเนินงาน ของสาขาแรก หรือสาขาต้นแบบ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ก่อนเปิดสาขาที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และขายแฟรนไชส์
  • จัดวางงบประมาณ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการขยายธุรกิจแฟรนไชส์

8. แผนการตลาดของธุรกิจแฟรนไชส์

  • การจัดทำคู่มือต่างๆ เพื่อแนะนำธุรกิจแฟรนไชส์
  • กระบวนการขายแฟรนไชส์ การคัดเลือกผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • กระบวนการติดตามลูกค้าเป้าหมาย
  • การนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ในงานแสดงธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • การจัดงาน สัมมนาการขายธุรกิจ แฟรนไชส์
  • การเปิดเยี่ยมชมธุรกิจ ร้านต้นแบบแฟรนไชส์
  • กระบวนการคัดเลือกแฟรนไชส์ซีที่เหมาะสม ตามหลักมาตรฐานแฟรนไชส์สากล
  • กระบวนการถ่ายทอดความรู้ การอบรม และให้คำปรึกษาแก่แฟรนไชส์ซี

สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

 

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช