สมรภูมิโชว์ห่วยเดือด! “โลตัส –บิ๊กซี” แปลงโฉม “ร้านนี้ ขายดี – โดนใจ” ท้าชน “ถูก ดี มีมาตรฐาน”

การปรับตัวของธุรกิจร้านค้าในรูปแบบ “โชว์ห่วย” เริ่มมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง เพื่อแข่งขันกับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ นับตั้งแต่ “เสถียร เศรษฐสิทธิ์” ประธานกรรมการบริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด สร้างคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงในไทย

ภายใต้โครงการร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” ด้วยโมเดล “ร้านค้าของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน” เป็นการผนึกความร่วมมือ “โชห่วย” ทั่วประเทศ ยกระดับร้านค้าปลีกให้ทันสมัย ร่วมพลิกฟื้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม

ที่ผ่านมามีร้านค้าได้พลิกโฉมติดป้าย “ถูกดี มีมาตรฐาน” ไปแล้วกว่า 1,000 สาขา และมีร้านโชห่วยสนใจอยู่ในลิสต์เตรียมปรับโฉมใหม่อีก 8,000 แห่ง และคาดว่าจะมีร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” ได้ถึง 30,000 แห่งภายในปี 2565

สมรภูมิโชว์ห่วยเดือด

ภาพจาก https://bit.ly/34NEtWd

สำหรับร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” สามารถเพิ่มรายได้จากเดิมที่ขายสินค้าได้ 3,000-5,000 บาทต่อวัน เพิ่มเป็นมากกว่า 10,000 บาทต่อวัน สามารถช่วยเจ้าของร้านฝ่าวิกฤติต่างๆ สร้างชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ถือเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตสวนกระแส ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยโมเดลที่ตอบโจทย์ชุมชนได้อย่างแท้จริง

สมรภูมิโชว์ห่วยเดือด

ภาพจาก https://bit.ly/34NEtWd

ร้านถูกดี มีมาตรฐานใช้งบลงทุนร้านละ 1 ล้านบาท ในขนาดพื้นที่เฉลี่ย 50 ตร.ม. บวกลบ โดยเจ้าของร้านต้องมัดจำเป็นจำนวน 200,000 บาท ถ้าปฏิบัติตามสัญญาก็จะคืนเงิน 200,000 บาทให้เจ้าของร้าน

อย่างไรก็ตาม เมื่อหลายปีก่อนเราจะคุ้นเคยกับชื่อ “ร้านติดดาว” เป็นโมเดลที่ทาง “ยูนิลีเวอร์” เข้าไปช่วยพัฒนาร้านให้ทันสมัย ช่วยในเรื่องการบริหารจัดการ เริ่มต้นเมื่อปี 2555 ในตอนนั้นเป็นช่วงวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ จึงช่วยปรับปรุงร้านให้กลับมาดำเนินกิจการต่อได้ เพราะถ้าร้านโชห่วยเลิกกิจการ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อยูนิลีเวอร์ด้วยเช่นกัน

สมรภูมิโชว์ห่วยเดือด

ภาพจาก https://bit.ly/364llnK

ล่าสุดยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอย่าง “บิ๊กซี – โลตัส” ไม่พลาดที่จะต่อยอดด้วยการเร่งสร้างเครือข่ายร้านค้าโชห่วยของตัวเองขึ้นมา กลายเป็นสงครามการแข่งขันที่น่าจับตามองไม่น้อย โดย “โลตัส” เปิดตัวโครงการ “ร้านนี้ ขายดี” แบรนด์น้องใหม่ล่าสุดยกระดับโชห่วยเมืองไทย สร้างอาชีพให้คนไทยเป็นเจ้าของกิจการแบบ 100% โดยไม่ต้องแบ่งกำไรกับใคร

สมรภูมิโชว์ห่วยเดือด

ภาพจาก https://bit.ly/3sBQyGC

ผู้สนใจร่วมโครงการเป็นคนออกเงินทุนในการตกแต่งร้านค้า ทางบริษัทจะมีทีมงานให้คำแนะนำ รวมถึงแนวทางในการตกแต่งตลอดจนอุปกรณ์เข้าร้าน สามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินตามที่ผู้ร่วมโครงการเลือกเองได้ โดยรูปแบบร้านค้ามีให้เลือกลงทุนหลากหลายเหมาะสมกับทุกขนาดพื้นที่ให้เลือก สามารถเปิด – ปิดร้านได้ตามใจคุณ ลงทุนเริ่มต้น 200,00-400,000 บาท ระยะเวลา 1 ปี หากต้องการจำหน่ายสุราและบุหรี่ สามารถขอคำปรึกษาได้ เป็นต้น

สมรภูมิโชว์ห่วยเดือด

ภาพจาก facebook.com/Donjaith

การเปิดตัวโครงการ “ร้านนี้ ขายดี” จะคล้ายกับ “ร้านโดนใจ” ของ “บิ๊กซี” ในเครือไทยเบฟฯ ที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้ นั่นคือ การสั่งสินค้า ตลอดจนการรักษายอดขาย เปรียบเหมือนนักมวยที่ต้องมีค่ายมวยให้สังกัด เพื่อการทำงานที่ง่ายขึ้น สามารถแข่งขันได้ และที่สำคัญช่วยให้ดำเนินธุรกิจและยกระดับร้าน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของร้านโชวห่วยเมืองไทย

สมรภูมิโชว์ห่วยเดือด

ภาพจาก facebook.com/Donjaith

“ร้านโดนใจ” มีจุดเด่นคือใช้เงินลงทุน 100,000 บาท ถูกกว่า “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ที่ใช้เงินลงทุน 200,000 บาท และยังนำเสนอค่าบริการจากยอดขายที่ 0.5% ต่อเดือน (ค่าบริการขั้นต่ำ 5,000 บาท) ตกแต่งร้านให้ใหม่ มูลค่า 100,000-400,000 บาท ลงทุนอุปกรณ์ภายในร้าน มี 3 รูปแบบ คือ

  • ไซส์ S 1 คูหา ( 40-60 ตร.ม. สินค้า 1,300 รายการ)
  • ไซส์ M ขนาด 2 คูหา (60-100 ตร.ม. สินค้า 1,500 รายการ)
  • ไซส์ L ขนาด 3 คูหา ( 100 ตร.ม.ขึ้นไป สินค้า 1,800 รายการ)

ทั้งนี้ ปัจจุบันในประเทศไทยมีจำนวนร้านโชห่วยเหลืออยู่ประมาณ 400,000 แห่งเป็นร้านค้าที่ทรงพลังเข้าถึงผู้บริโภคระดับรากหญ้าได้เป็นอย่างดี ไม่แปลกที่บริษัทยักษ์ใหญ่จะมุ่งหน้าเข้าสู่สมรภูมินี้ ดึงร้านโชห่วยเข้ามาอยู่ในเครือข่ายของตนเอง

 

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก https://bit.ly/3Jof5pl


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultan

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช