ตั้งราคา ปลาหมึกแถวบน รวยตลอดชีวิต!
เคยเห็นบางคนเปิดร้านแล้วขายดีมาก ในทางกลับกันอีกร้านใกล้กันทำไมขายไม่ดี? ความแตกต่างของเรื่องนี้อยู่ที่อะไร คุณภาพสินค้า? หรือว่าเป็นเรื่องของการตลาดและราคา?
ก็ไม่ปฏิเสธว่าทั้ง 3 คำตอบที่ว่ามาก็ล้วนแต่มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า แต่บางทีเรื่องเล็กน้อยที่เรามองข้ามหรือคิดว่าไม่จำเป็นบางทีก็มีผลต่อการสร้างยอดขายได้เช่นกัน
ถ้าเราเคยไปตลาดเห็นพ่อค้าขายปลาหมึกบด สังเกตไหมว่าเขาจะแขวนปลาหมึกแห้งไว้บนราวที่มีทั้งแถวบน แถวกลาง และแถวล่าง เราอาจจะคิดว่ามันก็แค่การจัดเรียงสินค้าให้สวยงาม แต่ถ้าพิจารณาให้ถี่ถ้วนเรื่องนี้ไปสัมพันธ์กับกลยุทธ์ระดับโลกที่แม้แต่แบรนด์ใหญ่ก็นำมาใช้ เป็นกิมมิคเล็กๆที่ง่ายๆแต่ได้ผลกับการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “สามารถเลือกได้อย่างชาญฉลาด”
ทีนี้ก็ลองมาดูว่าปลาหมึก 3 แถวความหมายที่ซ่อนอยู่ในแต่ละแถวคืออะไรบ้าง
ลูกค้ากลุ่มประหยัด (Economy Customers) เปรียบคือ ปลาหมึกแถวล่าง
- ลูกค้ากลุ่มนี้มองหา ‘ราคาถูก’ เป็นเหตุให้เลือกปลาหมึกแถวล่างถึงแม้คุณภาพของสินค้าจะเล็กก็ตาม
ลูกค้ากลุ่มคุ้มค่า (Value Seekers) เปรียบคือ ปลาหมึกแถวกลาง
- ลูกค้าจะมองหา คือ ‘ความคุ้มค่า’ เป็นหลัก มองหาสินค้าที่ราคาสมเหตุสมผล ถึงจะไม่ใช่สินค้าที่ดีที่สุด ที่สำคัญลูกค้าในกลุ่มนี้มีเยอะมาก
ลูกค้ากลุ่มพรีเมียม (Premium Customers) เปรียบคือ ปลาหมึกแถวบน
- สิ่งที่คนกลุ่มนี้มองหา คือ “สินค้าที่ดีที่สุดเท่านั้น” แม้ต้องจ่ายแพงกว่าก็ยอม ลูกค้ากลุ่มนี้อาจมีจำนวนไม่มากแต่ก็มีและที่ความภักดีต่อแบรนด์สูง
เมื่อนำเอาเรื่องปลาหมึกในแต่ละแถวมาเป็นตัวตั้งและมองไปที่ธุรกิจต่างๆ ก็เห็นว่าบรรดาร้านสะดวกซื้อในเมืองไทยก็ได้นำกลยุทธ์แบบนี้มาปรับใช้ ในฐานะที่เราเป็นลูกค้าอาจจะไม่ทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าแม้แต่การจัดเรียงสินค้าในร้านสะดวกซื้อก็มีพื้นฐานมาจากเรื่องของปลาหมึกเช่นกัน
ถ้าเทียบเคียงให้เป็นทฤษฏีเรื่องนี้ก็ใกล้มากกับกฎของ Pareto หรือ กฎ 80/20 ที่ร้านสะดวกซื้อได้นำมาต่อยอดเป็น หลักการ ABC Analysis เพื่อใช้ในการจัดกลุ่มสินค้าซึ่งหลักการทำงานของ ABC Analysis เริ่มจากการแบ่งกลุ่มสินค้าเป็น 3 กลุ่ม คือ
- Item A สินค้าขายดี มีประมาณ 20% ของรายการสินค้าทั้งหมด
- Item B สินค้าขายได้ปานกลาง มีประมาณ 30% ของรายการสินค้าทั้งหมด
- Item C สินค้าขายไม่ดี มีประมาณ 50% ของรายการสินค้าทั้งหมด
หลังจากแบ่งสินค้าออกเป็น 3 กลุ่มแล้ว พนักงานก็จะนำสินค้าแต่ละกลุ่ม ไปเรียงบนชั้นวางสินค้า จากบนลงล่าง
- สินค้า Item A ที่เป็นสินค้าขายดี จะวางบนชั้นวางสินค้าทั้งหมด 3 แถว
- สินค้า Item B ที่ขายได้ปานกลาง จะวางบนชั้นวางสินค้าทั้งหมด 2 แถว
- สินค้า Item C สินค้าที่ขายไม่ดี จะวางบนชั้นวางสินค้าประมาณ 1 แถว
จากนั้นจะมีการวิเคราะห์จากข้อมูลที่มี เพื่อหาเทรนด์สินค้าใหม่ หรือ New Product เข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติม
เมื่อเป็นแบบนี้ สินค้า Item C ซึ่งเป็นสินค้าที่ขายไม่ดี สุดท้ายก็จะถูกเอาออกไปจากชั้นวาง และ จะนำสินค้าผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาวางขายแทน เมื่อมีระบบสินค้าหมุนเวียนแบบนี้ ก็จะทำให้ มีสินค้าใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และมีข้อดีที่น่าสนใจในด้านอื่นๆ อีกเช่น สามารถควบคุมปริมาณสินค้าในคลัง ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และใช้พื้นที่ในการจัดเก็บคลังสินค้า ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การจัดเรียงสินค้าแบบ ‘ ปลาหมึกแถวบน ’ จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การโชว์สินค้าเท่านั้น แต่มันคือ จิตวิทยาการตั้งราคา ที่ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมของลูกค้า หากเราสามารถจัดลำดับสินค้าด้วยแนวคิดนี้
จะกระตุ้นให้ลูกค้าเลือกตัวเลือกที่ต้องการได้โดยไม่ต้องลดราคาอีกด้วย และไม่ใช่แค่ร้านสะดวกซื้อหรือค้าปลีกเท่านั้นที่ใช้ได้ บรรดาร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม ก็ประยุกต์เอาเรื่องนี้ไปใช้ได้เช่นกัน
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)