กลยุทธ์ร้านฟาสต์ฟู้ด สร้างรายได้จาก “Frequency”

Frequency เป็นหนึ่งในโมเดล RFM ที่ย่อมาจาก Recency, Frequency และ Money Value ซึ่งล้วนแต่เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ธุรกิจต่างๆ จึงสามารถระบุและกำหนดเป้าหมายลูกค้าที่มีค่าที่สุดของตัวเองได้ และปรับแต่งกลยุทธ์การตลาดให้สอดคล้องกัน

ถ้าจะอธิบายให้ลึกลงไปอีกหน่อย RFM Model คือหลักการที่ต่อยอดมาจาก Pareto Marketing หรือหลักการที่ให้ ลงมือทำเพียง 20% แต่ได้ประสิทธิภาพถึง 80% นั้นหมายความว่า RFM Model เป็นหลักการที่ให้นักการตลาดมุ่งความสนใจไปที่กลุ่มลูกค้าแค่ 20% เป็นลูกค้ากลุ่มแรก เพราะลูกค้ากลุ่มนี้สามารถทำกำไรให้มากถึง 80% ของลูกค้าทั้งหมด นักการตลาดควรออกโปรโมชันหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ากลุ่มนี้กลับมาซื้อของหรือใช้บริการบ่อยๆ

แน่นอนว่ายิ่งมีความถี่ (Frequency) ในการเข้าร้านมาก โอกาสขายก็ยิ่งมากตาม แต่ข้อควรระวังคือ ต้องดูจำนวนการซื้อที่เกิดขึ้นด้วย เพราะถ้าลูกค้ามาเป็นประจำแต่ไม่ได้ซื้อสินค้า นั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่าลูกค้ายังไม่มีความไว้วางใจในสินค้าและบริการ จึงจำเป็นต้องหาจุดเปลี่ยนที่ทำให้ลูกค้ามั่นได้มากขึ้น

อธิบายให้เข้าใจง่ายมากที่สุดอาจต้องไปยกตัวอย่างธุรกิจร้านฟาสฟู้ดต์ หรือร้านกาแฟแบรนด์ดังต่างๆที่นำกลยุทธ์นี้มาผนวกใช้ ซึ่งก็อาจปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามความเหมาะสมแต่ทั้งหมดก็คือการเพิ่ม Frequency เพื่อหวังเพิ่มรายได้

Frequency
ภาพจาก https://bit.ly/3BqAbF9

ยกตัวอย่าง KFC ที่พยายามเพิ่มโอกาสในการใช้บริการผ่านแต่ละช่องทางขาย เราจึงเห็นโมเดลการเปิดร้าน KFC ในรูปแบบคีออส ที่มีทั้งการขยายเข้าไปในย่านชุมชนและในพื้นที่ที่เป็น Transportation Hub อย่างบนบีทีเอส หรือ MRT รวมถึงการเปิดร้านโมเดลคีออสบนรถไฟฟ้าในคอนเซ็ปต์ “Quick &Easy” เป็นต้น

หรืออย่างอินทนิล แบรนด์ร้านกาแฟชื่อดังก็พยายามเพิ่ม Frequency เช่นกัน ด้วยการพัฒนาเมนูที่ตอบโจทย์ดึงคนให้อยากเข้าร้านจึงไม่ได้มีแค่กาแฟ แต่พัฒนาเมนูให้หลากหลายเช่น น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มตามฤดูกาล รวมถึงการเพิ่มเมนูอาหารทานเล่น ทานง่ายที่สามารถรองท้องยามเช้าของลูกค้าได้ และก็ยังรวมถึงการพัฒนาโมเดลร้านที่เป็นรูปแบบช็อป อิน ช็อป ที่มีการนำร้านอาหารดังๆ เข้ามาเปิดเป็นเคาน์เตอร์ในร้านอินทนิล ซึ่งทุกสิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่ต้องการดึงลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการบ่อยขึ้น

ในส่วนของกาแฟพันธุ์ไทยก็พยายามเพิ่มFrequency เช่นกัน โดยใช้วิธีการออกของสะสมเพื่อใช้เป็นอีกตัวช่วยสร้างแรงดึงดูดในการมาร้านกาแฟของลูกค้า เช่น ทำแคมเปญ แจกฟรี! แก้วเปลี่ยนสีพันธุ์ไทย Reusable Cup ที่ไม่ใช่แค่ใช้ซ้ำ ใช้อีก ใช้ต่อได้ แต่ยังมีกิมมิคสนุกๆ ให้ตามล่าสะสมให้ครบทั้ง 5 แบบด้วย

Frequency
ภาพจาก www.punthaicoffee.com

หรือแม้แต่การทำโฆษณาที่ให้ลูกค้าเห็นบ่อยๆ ก็เป็น Frequency อีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน โดยมีการคำนวณไว้ว่าความถี่ในการเห็นโฆษณาประมาณ 7 ครั้งจะทำให้ลูกค้าเริ่มสนใจสินค้าและบริการของธุรกิจ แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกันสำหรับการทำโฆษณาที่เห็นบ่อยเกินไป อาจทำให้เกิดอาการ Ad Fatigue หรืออาการที่ลูกค้ารู้สึกเบื่อหรือรำคาญ และไม่เกิดการตอบสนองต่อโฆษณาอีกต่อไป ซึ่งธุรกิจก็ต้องหาวิธีป้องกัน ไม่ให้ลูกค้าเกิดอาการ Ad Fatigue เช่น

  • การเปลี่ยนชิ้นงานโฆษณา เปลี่ยนรูปภาพประกอบ หรือเปลี่ยนเนื้อหาภายในชิ้นงาน อย่างสม่ำเสมอ
  • การเปลี่ยนแพลตฟอร์มลงโฆษณา
  • การปรับกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น หรือปรับเป็นกลุ่มเป้าหมายอื่น ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันแทน เป็นต้น

เราจะเห็นว่า Frequency เป็นแค่หนึ่งในส่วนประกอบของ RFM Model และกลยุทธ์การเพิ่มความถี่เพื่อเพิ่มลูกค้านี้ก็ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอีกหลายอย่าง ดังนั้นแต่ละแบรนด์ต้องคิดวิธีการนำไปใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจตัวเอง อย่าลืมว่าทุกอย่างมีข้อดีข้อเสียในตัวของมันเอง อะไรที่มากเกินไปก็ใช่จะเป็นเรื่องดี การผสมผสานและนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพคือไอเดียการสร้างความสำเร็จที่แตกต่างกันในแต่ละแบรนด์ด้วย

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด